อปท.-ภาคธุรกิจ-ประชาชน พร้อมจับมือเป็นเครือข่าย ขับเคลื่อนระบบสุขภาพ | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ Skip to main content

   เวทีประชุมวิชชาการ ๙ ปี สช. ชี้กระบวนการกำหนดนโยบายสุขภาพยังมีช่องโหว่ที่ต้องแก้ไข เพื่อเดินหน้าสู่การปฏิบัติจริง โดย อปท.พร้อมประสานท้องถิ่น ๗,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศเข้าร่วม ขณะที่ภาคธุรกิจวอนเปิดใจรับฟังเสียงผู้ประกอบการ หลังถูกมองภาพเป็นดั่งผู้ร้าย
 
   การประชุมวิชชาการ “ปฏิรูประบบสุขภาพและชีวิต ปฏิรูปจิตสำนึกประชาธิปไตย” โอกาส ๙ ปี สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐-๑๒ มิ.ย. ๒๕๕๘ ณ อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี มีเวทีเสวนาหัวข้อ “การพัฒนานโยบายสาธารณะ เพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม สถานะ คุณค่า และการยอมรับ” โดยเปิดให้ภาคส่วนต่างๆที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้
 
   นายวิจัย อัมราลิขิต นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองพนัสนิคม จ.ชลบุรี อดีตนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวสนับสนุนแนวทางของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ที่ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจนเกิดผลเป็นรูปธรรมแล้วถึง ๖๔ มติ โดยขณะนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มีเครือข่ายเชื่อมต่อกันทั่วประเทศ จึงมีความใกล้ชิดกับประชาชน โดยผู้บริหารงานองค์กรท้องถิ่น กว่า ๗,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ พร้อมที่จะทำงานร่วมกับสช.และสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
 
   การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปฏิบัติอะไร ขอให้เรามีส่วนร่วมและรับทราบนโยบายก่อน ไม่ใช่ถกกันเสร็จแล้วส่งมาให้ดำเนินการ
 
   อย่างไรก็ตาม การนำมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติไปปฏิบัติ พบว่ายังมีปัญหาเนื่องจากการรับรู้มติสมัชชา สุขภาพที่เกี่ยวข้องกระจุกตัวในบางท้องถิ่นเท่านั้น ไม่ได้กระจายไปทั่วประเทศอย่างแท้จริง แต่กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ เมื่อรับนโยบายไปแล้ว กลับต่างคนต่างทำ ไม่เคยมีบันทึกความตกลง (MOU) ร่วมกัน และบางครั้งไม่ได้เชิญ อปท. มาร่วมแต่ต้น
 
   เมื่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ มีฉันทมติออกมาแล้ว ควรขับเคลื่อนไปสู่นโยบาย และกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ รับไปปฏิบัติ โดยมีแผนยุทธศาสตร์ในการทำงานที่ชัดเจน แล้วจึงจัดส่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกจังหวัดรับทราบด้วย เพราะสุดท้ายนโยบายต่างๆ จะทำให้สำเร็จและเข้าถึงประชาชนได้จริง ก็ต้องเป็นหน้าที่องค์กรปกครองท้องถิ่น
 
   ด้าน นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เป้าหมายของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ คือนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม แต่การมีส่วนร่วมอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องพิจารณาว่าจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร ส่วนตัวมองว่าถ้าจะประสบความสำเร็จ ๕ ภาคส่วน ต้องเดินหน้าไปด้วยกัน คือ หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ภาคสังคม นักวิชาการ และนักการเมือง แต่ทุกวันนี้ยังไม่ไปด้วยกัน โดยเฉพาะปัญหาที่ภาคเอกชน คือ ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากภาคส่วนอื่น มักถูกมองเป็นผู้ร้ายเสมอ
 
   อยากให้ทุกฝ่ายรับฟังปัญหาของภาคธุรกิจบ้าง บางครั้งภาคธุรกิจไม่กล้ามาร่วม เพราะอาจจะกลัวว่า มาแล้วไม่มีใครสนใจฟัง หรือถูกต่อว่าต่อขาน เห็นเสียงภาคธุรกิจเป็นแค่น้ำจิ้ม แต่ถ้าจะให้ยุทธศาสตร์ประเทศ เข้าสู่สมดุล ต้องปรับหาจุดยืนให้ตรงกันก่อน
 
   รศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา กรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า กระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะของ สช. ที่ผ่านมาอาจยังมีจุดอ่อนหรืออุปสรรคอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าเป็นกระบวนการที่ออกแบบมาเพื่อเสริมจุดอ่อนของระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่ประชาชนยังไม่สามารถเสนอนโยบายผ่านนักการเมืองโดยตรงได้
 
   ข้อเสนอที่ได้รับจากฝ่ายต่างๆ ยอมรับว่าตรงกับหลักการของกระบวนการสร้างนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ทั้งขาขึ้น ขาเคลื่อน และการสร้างกระบวนการเรียนรู้ เช่น การจัดให้มีเวทีให้คนมาพูดคุยกัน โดยใช้ข้อมูลเป็นตัวตั้ง
 
   ขณะนี้เริ่มมีการปรับปรุงการเปิดเวทีรับฟังความเห็นเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมเพื่อรับฟังปัญหา โดยเฉพาะภาคธุรกิจ ยอมรับว่าในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งแรกๆ ภาคธุรกิจที่เข้ามาร่วมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนทำให้ ไม่อยากมาร่วมในกระบวนการนี้ แต่ยืนยันว่าวันนี้บรรยากาศเริ่มดีขึ้น ความรู้สึกไว้วางใจต่อกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 
   อย่างไรก็ตาม ยังมีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง คือ การกำหนดนโยบายสาธารณะนั้น กระทรวงที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานด้านสุขภาพโดยตรง มักไม่ให้ความสนใจกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายสาธารณะมากนัก จึงมีแนวคิดว่าจะดึงกระทรวงเหล่านี้เขามาร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะให้ใกล้ชิดมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
 
   นายประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องพื้นที่ผลิตอาหารภาคใต้ ที่ปรึกษา HIA ชุมชน ๑๐ พื้นที่ภาคใต้ กล่าวว่า การสร้างนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมเป็นเรื่องที่ดี แต่การมุ่งสร้างนโยบายอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ต้องใช้เวลาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ใช้ข้อมูลรอบด้าน ไม่ควรรีบให้เกิดนโยบายเร็วเกินไป จะทำให้เกิดความขัดแย้ง แล้วจะได้แค่เอกสารมาใบหนึ่ง สุดท้ายจะไม่มีความหมาย ต้องใช้ความพยายามและอดทน
 
   ทั้งนี้ มี 3 เรื่องที่ควรดำเนินการอย่างเป็นกระบวนการ และให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะในกระบวนการ ประเมินผลกระทบทางสุขภาพของชุมชน คือ 1) การหาศักยภาพของพื้นที่ เช่น กรณีพื้นที่ชายฝั่งอันดามันภาคใต้ ซึ่งได้ระดมประชาชนมาค้นหาศักยภาพพื้นที่จนค้นพบ “อ่าวทองคำ” อันเป็นขุมทรัพย์ทางทะเลและความสวยงาม ของพื้นที่ที่ทุกภาคส่วนล้วนเห็นคุณค่าและร่วมกันหวงแหน 2)การร่วมกันศึกษาปัจจัย คุกคามหรือปัจจัยเอื้อต่อการ พัฒนาของพื้นที่ จากนั้นจึง 3)ร่วมกันหาแนวทางการพัฒนาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้อย่างสมดุลและเกิดประโยชน์สูงสุด ต่อทุกคน
 

ท่านสามารถดูภาพที่เหลือโดยกดที่นี่

สำนักสื่อสารทางสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 02-832-9144

รูปภาพ