- 157 views
สช.-ไทยพีบีเอส พร้อมด้วยภาคี ร่วมระดมสมองผ่านเวทีสาธารณะ “เมืองสุขภาพ” สะท้อนปัญหา-แนวทางแก้ไขระบบสุขภาพเขตเมืองในพื้นที่ กทม. เพื่อเป็นข้อเสนอต่อว่าที่ผู้ว่าฯ คนต่อไป หนุนยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุขสู่ “รพ.ประจำเขต” เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน-อสส. เข้ามามีบทบาทการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
![ปลุกกรุงเทพ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1053.jpg)
เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2565 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมด้วย “เครือข่ายปลุกกรุงเทพ” ซึ่งประกอบด้วยภาคีทั้งภาครัฐ วิชาการ เอกชน ประชาสังคม กว่า 80 เครือข่าย ร่วมกันจัดเวทีสาธารณะ ฟังเสียงกรุงเทพ “เมืองสุขภาพ” เพื่อรวบรวมประเด็นปัญหา และทิศทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาระบบสุขภาพเขตเมือง พร้อมยกระดับข้อเสนอเชิงนโยบายและคำถามสำคัญเสนอต่อว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ต่อการพัฒนาระบบสุขภาพ กทม.
![ปรีดา แต้อารักษ์](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1059.jpg)
สำหรับเวทีดังกล่าว เป็นการชวนภาคีเครือข่ายคิดต่อยอดเพื่อหาทางออกของปัญหา ที่จะนำไปสู่แนวทางการทำงานและขับเคลื่อนระบบสุขภาพ กทม. ผ่านการสังเคราะห์ตามกลุ่มเชิงประเด็น ได้แก่ 1. กฎหมาย ระเบียบ นโยบายและยุทธศาสตร์ ด้านสุขภาพ 2. ระบบบริการด้านสุขภาพ 3. เครือข่ายสุขภาพภาคประชาชน 4. สภาพแวดล้อมเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ พร้อมด้วยกิจกรรมเวทีสาธารณะ “เมืองสุขภาพ” ที่จะส่งเสียงสะท้อน ข้อเสนอเชิงนโยบาย รูปแบบการทำงานที่จำเป็น เพื่อเสนอต่อว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. คนต่อไป
![ปลุกกรุงเทพ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1060.jpg)
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เปิดเผยว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เห็นผู้สมัครหาเสียงและมีนโยบายด้านสาธารณสุขที่มากและชัดเจน ถึงขนาดที่มีการเสนอยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข ให้เป็นโรงพยาบาลประจำเขต ซึ่งนับว่าเป็นนโยบายที่ถูกเสนอขึ้นเป็นครั้งแรก แตกต่างกับการหาเสียงครั้งก่อนหน้าเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ที่ไม่มีผู้สมัครรายใดสนใจในประเด็นดังกล่าว ฉะนั้นครั้งนี้จึงถือเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสที่ผลักดันเรื่องนี้ไปได้
![นิมิตร์ เทียนอุดม](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1058.jpg)
“ที่ผ่านมาไม่มีนักการเมืองคนไหนสนใจเรื่องนี้ เพราะมันใช้เวลานาน ถ้าทำจริงในช่วง 4 ปีก็ยังทำไม่จบ ไม่เห็นภาพความสำเร็จที่นำไปหาเสียงได้ และถ้าผู้สมัครคนไหนบอกว่าทำไม่ได้เพราะไม่มีงบประมาณ ก็แปลว่าเขาไม่ได้ทำการบ้าน ไม่ได้ศึกษาว่าเงินในระบบสุขภาพมาจากจำนวนหัวของประชากร ถ้ามีโรงพยาบาลเกิดขึ้นจริง งบประมาณก็จะตามลงไปในพื้นที่นั้น ไม่เหมือนศูนย์บริการสาธารณสุขทุกวันนี้ ที่ค่าหัวกระจัดกระจาย ได้เพียงไม่เท่าไร” นายนิมิตร์ กล่าว
นายนิมิตร์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ และการยกระดับอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะเมื่อขยับเป็นโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้มีเพียงเรื่องของการรักษาอย่างเดียว แต่ยังจะต้องเน้นการส่งเสริมสุขภาพควบคู่ไปด้วย พร้อมกับการถักทอเครือข่ายระบบสุขภาพใน กทม. ทั้งระบบเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะการเติมเต็มช่องว่างระหว่างหน่วยบริการปฐมภูมิ กับโรงพยาบาลตติยภูมิขนาดใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมา กทม.ยังมีช่องว่างในส่วนนี้ จึงต้องทำให้เกิดรูปธรรมของหน่วยบริการระดับกลางเพิ่มขึ้นด้วย
พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร อดีตเลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน กล่าวว่า ลำพังทรัพยากรของ กทม. เองคงไม่เพียงพอในการจัดระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ ฉะนั้นสุดท้ายแล้วความสำคัญจึงอาจอยู่ที่การประสานงาน ที่ผู้ว่าราชการ กทม. จะต้องสร้างความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนส่วนอื่นๆ รวมทั้งภาควิชาชีพ เข้ามาร่วมกันเป็นทีมที่ให้บริการสุขภาพได้มีประสิทธิภาพ
![พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1057.jpg)
“แนวโน้มวิธีคิดของผู้ว่า กทม. มักจะคิดว่าทุกอย่าง กทม. ต้องทำเอง นโยบายจึงออกมาเป็นชิ้นส่วนแยกกัน และไม่ได้คิดที่จะเสริมศักยภาพให้ประชาชนดูแลตนเองเป็น ดังนั้นจึงคิดว่าอีกสิ่งที่สำคัญจากนี้ คือ กทม. ต้องสร้างความร่วมมือในการทำงานกับคนอื่น ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านภายใต้การเปิดรับคนอื่นให้เข้ามาทำงานร่วมกัน รวมทั้งเสริมพลังให้กับภาคประชาชนในการดูแลตนเอง” พญ.สุพัตรา กล่าว
![พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1061_0.jpg)
นางวิศัลย์สิริ ตันตระกูล ประธานอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) กล่าวว่า สำหรับบุคลากรด้านสุขภาพที่ภาครัฐมักบอกว่ามีไม่เพียงพอ ในเมื่อ กทม. บริหารเอง จัดเก็บภาษีโดยไม่ได้เข้าคลัง เหตุใดจึงไม่จัดการให้มีบุคลากรอย่างเพียงพอ ทั้งที่มีแหล่งผลิตชั้นนำอยู่มากมาย เหตุใดจึงไม่ส่งเสริมให้คนเข้าไปเรียน ตัวอย่างเช่นลูกหลานของ อสส. ที่เสียสละทำงานอาสา หลายคนเรียนดีมีเกรดสูง กทม.จึงน่าจะสนับสนุนและลงทุนให้ลูกหลานของเขาได้เข้าเรียน พอจบแล้วก็ออกมาใช้ทุน เช่นเดียวกับในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตามโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ส่วนมากก็มักเป็นลูกหลานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
![วิศัลย์สิริ ตันตระกูล](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1069.jpg)
![วิศัลย์สิริ ตันตระกูล](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1056.jpg)
นางวิศัลย์สิริ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ผ่านมาก็พบว่า กทม. มักไม่ค่อยให้ความไว้วางใจ หรือใช้ประโยชน์ของ อสส. ในการทำหน้าที่มากเท่าที่ควร ฉะนั้นผู้ว่าราชการคนใหม่ก็ควรจะต้องตระหนักและให้ความสำคัญในด้านของการส่งเสริมป้องกันโรค ให้ภาคประชาชน สังคม ชุมชน ตลอดจนเอกชนต่างๆ มีส่วนร่วมในการสร้างสังคมสุขภาพดีให้กับคน กทม. รวมทั้งสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาสมัครเป็น อสส. เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 13 กทม. กล่าวว่า ความจริงแล้ว กทม. ถือได้ว่ามีต้นทุนในพื้นที่อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนโรงพยาบาล คลินิกเอกชน ตลอดจนทรัพยากรต่างๆ แต่ที่ผ่านมาอาจยังไม่ได้ใช้ต้นทุนที่มีอยู่มาตอบสนองต่อความจำเป็นได้อย่างเหมาะสม เหมือนกับมีนักดนตรีอยู่มากมายที่พร้อมจะเล่นดนตรี และต่างคนต่างเล่นอยู่ แต่ยังขาดวาทยกรที่จะเป็นตัวนำการเล่นทั้งหมดเพื่อประสานเสียงออกมาเป็นออร์เคสตราวงใหญ่ได้
![วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1055.jpg)
ด้าน ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สิ่งสำคัญของกระบวนการครั้งนี้คือการปลุกกรุงเทพ ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเฉพาะช่วงของการเลือกตั้งเพียงเท่านั้น แต่อยากให้ถูกใช้เป็นโอกาสในการสร้างพลังของกระบวนการมีส่วนร่วม และติดตามสิ่งต่างๆ ไปพร้อมกัน เพื่อสร้างนโยบาย กทม.ที่เป็นของทุกคน เริ่มตั้งแต่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และร่วมกันรับผลประโยชน์ เพราะเรื่องของสุขภาพไม่ได้อยู่แค่ในมือหมอ แต่ยังอยู่ที่พวกเราทุกคน
![วีระศักดิ์ พุทธาศรี](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1054.jpg)
“พลังของภาคประชาชนตรงนี้จะมีความสำคัญ นอกจากกระบวนการนโยบายสาธารณะแล้ว เรายังมีเครื่องมืออีกมาก ทั้งสมัชชาสุขภาพ ธรรมนูญสุขภาพ ซึ่งในช่วงโควิด-19 เราก็เห็นความเข้มแข็งที่เกิดขึ้น อย่างการใช้หลักของธรรมนูญไปเป็นข้อตกลงของชุมชนเพื่อช่วยกันจัดการโรคระบาด ซึ่งเป็นพลังที่เราอยากเห็นต่อไป เพราะสิ่งโควิดสอนคือ เราคงไม่ได้ต้องการโรงพยาบาลระดับสูงเพิ่มเติม แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่คือระบบของการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ที่จะต้องถูกยกระดับขึ้นด้วยความร่วมมือของทุกส่วน” ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ กล่าว
![ภาคีสุขภาพ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1066.jpg)
![ปรีดา แต้อารักษ์](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1068.jpg)
![จัดทำข้อเสนอ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1064.jpg)
![ภาคีสุขภาพ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1065.jpg)
![ปลุกกรุงเทพ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1067.jpg)
![จัดทำข้อเสนอ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1063.jpg)
![ปลุกกรุงเทพ](/sites/default/files/inline-images/press_65_05_03-1062.jpg)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สช.
โทร. 02-8329141
![ปลุกกรุงเทพ](/sites/default/files/images/contents/press_65_05_03-1053.jpg)