- 83 views
![ธรรมนูญระบบสุขภาพฯ ฉบับ 3](/sites/default/files/inline-images/press_64_08_21_0851.jpg)
สช.เดินหน้ากระบวนการร่าง “ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3” ต่อเนื่อง สู่เป้าหมายสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ วางสถานภาพเป็นทั้ง “ข้อผูกพันทางกฎหมาย” สมดุลกับ “สัญญาใจ” ใช้ความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ เพื่อมุ่งขจัด “ภัยคุกคามร่วม” เชื่อมโยงแนวคิดอุดมคตินามธรรม มาสู่รูปธรรมในการสื่อสารและการปฏิบัติได้จริง
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดการประชุมหารือเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2564 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงาน พร้อมหารือต่อเนื่องถึงกรอบแนวคิดการจัดทำธรรมนูญฯ รวมถึงการบูรณาการการทำงานของคณะอนุกรรมการจัดทำธรรมนูญฯ ทั้ง 3 คณะ
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประธานกรรมการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เปิดเผยว่า จากกระบวนการสัมภาษณ์และรับฟังความเห็นที่ผ่านมา ได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นถึงสถานภาพของธรรมนูญฯ ฉบับนี้ ที่จะเป็น “Soft Legal Binding” หรือการมีผลผูกพันทางกฎหมายแบบอ่อนๆ คือ นอกจากความชอบธรรมด้วยสถานะตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่จะเป็นกรอบแนวทางซึ่งมีผลผูกพันไปยังหน่วยงานอื่นๆ แล้ว ในทางปฏิบัติธรรมนูญฯ ฉบับนี้ยังต้องการให้มีสถานะเป็น “ร่ม” ที่เชื่อมโยงเป้าหมายยุทธศาสตร์ หรือแผนงานด้านสุขภาพในระดับต่างๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันในการสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ พร้อมลักษณะที่เป็นเหมือนสัญญาประชาคม (Social contract) ที่ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจ ยอมรับ และนำไปปฏิบัติร่วมกัน
ทั้งนี้ การสร้างพลังที่จะมุ่งให้ผู้คนทุกส่วนนำธรรมนูญฯ ฉบับนี้ไปใช้อ้างอิงนั้น หลักสำคัญคือการวางแนวคิดธรรมนูญฯ จะต้องดีพอ สามารถทำให้คนเชื่อในตัวธรรมนูญฯ ว่าจับต้องได้จริง มีความใกล้ตัว และมีความสัมพันธ์กับตนเอง ด้วยการมองถึงประเด็นความท้าทาย ภาวะปัญหาต่างๆ ที่ผู้คนกำลัง “suffer” ขณะนี้ และเปลี่ยนเป็นโอกาสที่จะทำให้ผู้คนเกิดความ “sustain” ได้อย่างไร
![สุวิทย์ เมษินทรีย์](/sites/default/files/inline-images/press_64_08_21_0852_0.jpg)
ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า ดังนั้นมิติแรกที่ควรมีในธรรมนูญฯ ฉบับนี้ คือ จะต้องทำให้ผู้คนรับรู้ถึง “ภัยคุกคามร่วม” ซึ่งหลายเรื่องเป็น Global commons เช่น โรคระบาด หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แล้วจึงเป็นเรื่องของโอกาสที่เราจะสามารถทำอะไรร่วมกันเพื่อหลุดพ้นจากภัยคุกคามเหล่านี้ โดยธรรมนูญฯ จะต้องมีการสร้างสมดุลระหว่างการเขียนที่เป็นเชิงข้อผูกพันตามกฎหมาย (mandatory) กับส่วนที่ใช้ความร่วมมือ (participatory) นอกจากนี้ยังหมายถึงสมดุลระหว่างความเป็นปัจเจกบุคคล (individualization) กับส่วนที่จะต้องดำเนินร่วมกัน (commonization)
“เราต้องทำตั้งแต่ Grand to Ground คือ แปลงกรอบการทำงานในภาพใหญ่ที่เป็นกลยุทธ์ ลงมาสู่กรอบการทำงานในระดับปฏิบัติที่จะใช้เป็นฐานในการไปสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายตามบริบทที่แตกต่างกัน เช่น การคุยกับบุคลากรในระบบสาธารณสุขเราก็คุยแบบหนึ่ง กับนักการเมืองที่ดูนโยบายใหญ่เราก็คุยอีกแบบหนึ่ง หรือกับประชาชน ชุมชนก็ต้องคุยอีกแบบ ฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องถอดรหัสออกมาเป็นรูปธรรมเพื่อสามารถใช้สื่อสารและนำไปสู่การปฏิบัติได้ จึงเป็นความยากของการเขียนธรรมนูญฯ ฉบับนี้” ดร.สุวิทย์ กล่าว
ดร.สุวิทย์ กล่าวอีกว่า สุดท้ายแล้วเป้าหมายสูงสุดของธรรมนูญฯ คือการสร้างวิถีที่ให้คนดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นนามธรรม ดังนั้น สิ่งสำคัญคือจะต้องเป็น “From ideal to real” หรือธรรมนูญฯ ฉบับนี้จะต้องทำการถอดรหัสจากอุดมคติให้มาสู่ความเป็นจริง โดยต้องแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกับสถานการณ์ที่แท้จริงในบริบทของโลกขณะนี้ และยังต้องแสดงถึงกรอบทิศทางภายใน 5 ปีข้างหน้าด้วยว่าจะนำไปสู่ความเป็นธรรมด้านสุขภาพได้อย่างไร ทั้งนี้ ธรรมนูญฯ ต้องไม่เขียนให้กว้างหรือแคบจนเกินไป
“สิ่งที่ธรรมนูญฯ ฉบับนี้สร้าง จะเหมือนกับ Snake in a tunnel หรืองูที่อยู่ในอุโมงค์ คือเราเป็นอุโมงค์ที่ให้ทิศทางแล้ว แต่อิสระจะอยู่ที่การเลื้อยของงูตามแต่สถานการณ์ในขณะนั้น” ดร.สุวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับกระบวนการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสัมภาษณ์และรับฟังความเห็นจากกลุ่มต่างๆ เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการยกร่างธรรมนูญฯ ซึ่งคาดว่าจะได้ร่างที่นำไปสู่การรับฟังความเห็นอีกครั้งในช่วงเดือน ต.ค. - ธ.ค. 2564
![ธรรมนูญระบบสุขภาพฯ ฉบับ 3](/sites/default/files/images/contents/press_64_08_21_0850.jpg)