สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ผลักดันให้มีมติของสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 77 ว่าด้วยเรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ (social participation) เพื่อให้ฝังรากและกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ระบบโครงสร้าง และวัฒนธรรม (institutionalization) และมีการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อเนื่องในระดับนานาชาติ เช่นการจัดประชุมระดับรัฐมนตรี ว่าด้วยเรื่องดังกล่าวในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ณ สมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 78
ครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่ ประเทศไทย ในนาม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับประเทศสโลวีเนีย บราซิล ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ เคนยา สเปน ตูนิเซีย องค์การอนามัยโลก UHC2030 และ Civil Society Engagement Mechanism (CSEM) จัดการประชุมคู่ขนาน เรื่อง Social Participation as a driver of health equity and resilient societies ในวันที่22 กันยายน 2568 ที่การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 80 (UNGA80) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ประธานาธิบดีสโลวีเนีย คุณนาตาชา ปีตส์ มูซาร์ ชี้ให้เห็นว่า หากประชาคมโลกละเลยเรื่องสุขภาพและความเป็นธรรมแล้ว โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งในสังคมโลกย่อมมีมากขึ้น สโลวีเนียขอเรียกร้องให้ผู้นำประเทศมีความมุ่งมั่นทางการเมืองที่ให้ความสำคัญต่อความเป็นธรรมด้านสุขภาพ และกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีภาคประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนเข้าร่วมในทุกขั้นตอนนโยบาย และหวังให้เกิดความร่วมมือในระดับนานาชาติที่จะสนับสนุนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
ประธานาธิบดีเคนยา คุณวิลเลียม รูโต กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการอภิบาลระบบสุขภาพ ถือเป็นสิทธิของประชาชน ซึ่งระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของเคนยา คุณวิลเลียมกล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศเคนยาได้มีการปฏิรูปกฎหมายเร็วๆนี้ เพราะกฎหมายเดิมไม่มีพื้นที่สำหรับประชาน โดยเฉพาะพื้นที่ให้กลุ่มเปราะบางและชายขอบได้แสดงความคิดเห็น ประธานาธิบดีเคนยาย้ำว่าการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการนโยบายไม่ใช่แค่เรื่องศีลธรรม แต่เป็นยุทธศาสตร์การเงินการคลังที่มีประสิทธิภาพ โดยประเทศเคนยาได้จัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม (participatory budgeting) ในทุกระดับของรัฐบาล โดยใช้แพลตฟอร์มดิจิตัลเข้ามาสนับสนุน นำมาสู่ความโปร่งใสในการตัดสินใจใช้งบประมาณสาธารณะของประเทศ และความเชื่อใจระหว่างรัฐบาลและประชาชน
รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ดร.ทิพิชา โปษยานนท์ ยกตัวอย่างประเทศไทยในการสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ โครงสร้าง และวัฒนธรรมไทย ผ่าน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ และการมีคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และ สช. ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนและพัฒนากระบวนการ เครื่องมือ รวมทั้งแพลตฟอร์มการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม
ดร.ทิพิชา กล่าวอีกว่า ประเทศต่างๆเข้าร่วมการประชุมระดับสูงว่าด้วยโรคไม่ติดต่อ (UNGA high-level meeting on NCDs) ครั้งที่ 4 ที่การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในครั้งนี้ เพื่อร่วมกำหนดทิศทางนโยบายและการลงนามรับรองพันธกรณีทางการเมืองระดับโลกในการต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อ และส่งเสริมสุขภาพจิตให้ดีขึ้นนั้น ประเทศไทยเองได้ใช้กระบวนการของสมัชชาสุขภาพ เป็นแพลตฟอร์มหนึ่งในการแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อและสุขภาพจิต เช่น มติสมัชชาว่าด้วยเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า การจัดการระบบนิเวศของโรคไม่ติดต่อ และสุขภาพจิต
ประชาคมโลกได้ต่อสู้กับโรคไม่ติดต่อมาอย่างยาวนาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) คือลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อ ให้ลดลงหนึ่งในสาม ภายในปี พ.ศ. 2573 แต่ความสำเร็จนี้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ประเทศไทยเรียกร้องให้ ประชาคมโลกต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน โดยร่วมมือกับภาคประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคไม่ติดต่อและปัญหาสุขภาพจิต ในการสร้างนโยบายที่ดีเพื่อสุขภาพ และ ติดตามประเมินอิมแพ็คจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการพัฒนาแผนและการดำเนินงานด้านโรคไม่ติดต่อและสุขภาพจิต ดร.ทิพิชา กล่าวปิดท้าย