"วิกฤตซ้อนวิกฤต"


อุทกภัยหาดใหญ่รอบนี้ก่อให้เกิดภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เห็นได้ชัด สะท้อนภาวะการรับมือแบบเดิมที่ไม่อาจรับมือได้ นับเป็นภัยคุกคามที่ทุกฝ่ายต้องปรับตัวสร้างระบบใหม่รองรับ

1.วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกิดขึ้นกับเมืองหาดใหญ่ที่มีลักษณะพื้นที่เป็น "แอ่งกะทะ" รองรับจากรอบด้าน โดยมีสายน้ำย่อยได้แก่ คลองหวะรับน้ำจากนาหม่อม น้ำจากคอหงส์สู่คลอง 30 เมตร คลองต่ำ/คลองวาดรับน้ำจากควนลัง และคลองอู่ตะเภาเป็นสายน้ำหลักรับน้ำจากสะเดา คลองหอยโข่งเป็นต้นน้ำใหญ่ 

ทั้งนี้ โดยปกติฝนสะสมเฉลี่ยทั้งปีของสงขลาอยู่ที่ 2245 มม. ขณะที่หน้าฝนของพื้นที่เริ่มต้นเดือนตุลาคมสิ้นสุดเดือนธันวาคม ความผิดปกติรอบนี้ คือ 17 พฤศจิกายน 68 ฝนสะสมทั้งปี 1464.8 มม. ห่างจากค่าปกติ 780.2 มม. เท่ากับว่ากว่าจะสิ้นสุดเดือนธันวาคม สงขลาจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย รวมถึงภาวะลานีญาที่จะมีฝนมากขึ้น 10% ข้อมูลนี้ถูกสื่อสารผ่าน เว็บไซต์ www.hatyaicityclimate.org ที่ประชาชนหาดใหญ่ติดตามในการเฝ้าระวังอุทกภัย

ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก ประกาศเตือนภัยฝน 18-23 พฤศจิกายน วันที่ 19 พฤศจิกายน เกิดภาวะฝนตกแช่อยู่ในพื้นที่เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานจากหย่อมความกดอากาศต่ำ ฝนสะสม 5 วันย้อนหลัง(19-24พฤศจิกายน)จำนวน 896 มม. เป็นฝน 300 ปีที่ไม่เคยเกิด โดยมีฝนหนักรอบแรกจากอำเภอนาหม่อมมาลงที่คลองหวะ 344 cms(ปริมาณน้ำไหลผ่าน ณ จุดวัดเป็นลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) รวมกับฝนจากเขาคอหงส์ 90 cms ไหลลงอ่างเก็บน้ำคลองเรียน(เฉพาะฝนสะสม 3 วันคือ 19-22 พฤศจิกายน รวม 585 มม.) คืนวันที่ 21 พฤศจิกายน นายกเทศมนตรีหาดใหญ่ตัดสินใจยกธงเหลือง 12 ชุมชนเวลา 20.30 น. และยกธงแดง 103 ชุมชนในวันที่ 22 พฤศจิกายน เวลา 08.00 น. การระบายน้ำจากอ่างคลองเรียนเพื่อไม่ให้อ่างแตกส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในชุมชนใกล้คลอง 30 เมตรและน้ำจากคลองหวะกับชุมชนละแวกจันทร์วิโรจน์ ขณะที่ฝั่งควนลังน้ำจากคลองต่ำและคลองวาด 245 cms ทำให้เทศบาลเมืองควนลังประกาศธงแดงในเวลาต่อมา ในขณะที่น้ำจากคลองอู่ตะเภายังอยู่ในระดับต่ำ ไม่นานนักภาวะอุทกภัยในเขตเมืองชั้นในก็คลี่คลาย

ทว่าต่อมาวันที่ 24 พฤศจิกายน ฝนก้อนเดียวกัน ขยับขึ้นไปตกแถวสะเดา ทำให้เกิดฝนหนักตกต่อเนื่องจนเกิดอุทกภัยในพื้นที่อำเภอสะเดา ปริมาณน้ำก้อนใหญ่จากคลองอู่ตะเภาจำนวน 2012 cmc ขณะที่ประสิทธิภาพคลองร.1 ระบายน้ำได้ 1200 cms และคลองอู่ตะเภา ระบายได้ 465 cms น้ำจึงไหลทะลักแผ่เข้าท่วมเขตชุมชนริมคลองอู่ตะเภาและเข้าสู่เมืองชั้นใน ปริมาณน้ำปีนี้มากกว่าน้ำปี 2553 (516 มม.)ทำให้ประเมินได้ว่าอุทกภัยคราวนี้จะรุนแรงมากที่สุดกว่าทุกครั้ง

ฝนก้อนเดียวกันก็ยังไม่สลายตัว วนกลับมาตกซ้ำในเขตเมืองใกล้คอหงส์อีกรอบ ทำให้เกิดน้ำท่วมรอบสอง รวมน้ำจากคลองอู่ตะเภาที่ไหลบ่าเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว

หมายเหตุ ยังมีปัจจัยน้ำทะเลหนุน และการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ขวางและทำลายทางน้ำจากการพัฒนา ไม่มีที่รับน้ำอีกด้วย

2.วิกฤตการบริหารจัดการของภาครัฐ จำแนกได้หลายประการ ดังนี้
2.1 การใช้มาตรการสิ่งก่อสร้างในการรับมือปริมาณน้ำจำนวนมากที่ไหลมาจากคลองสาขาและคลองสายหลัก คือ การสร้างอ่างเก็บน้ำ และคลองระบายน้ำ เพื่อดึงน้ำออกมาและหาทางระบายสู่ทะเลสาบที่อยู่ปลายน้ำ รวมถึงการบริหารจัดการการระบายน้ำด้วยเครื่องสูบน้ำ มาตรการเหล่านี้ใช้ได้สภาพแวดล้อมเดิม ทว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยใหม่  ฝนตกแช่อยู่กับที่เกิดฝนสะสมมีปริมาณน้ำจำนวนมากเกินกว่าระบบระบายน้ำจะรับมือได้ วิกฤตที่เกินจินตนาการ ผันผวน คาดเดายาก เช่นนี้มาตรการสิ่งก่อสร้างอาจทำให้เกิดการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก(หลังน้ำลดคงมีข้อเสนอเช่นนี้อีก) ขณะเดียวกัน ประสบการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา รวมถึงล่าสุดปี 67 ได้สะสมตกผลึกอยู่ในความเชื่อของประชาชนจำนวนมาก(รวมถึงผู้บริหารท้องถิ่น)ว่า ระบบดังกล่าว "เอาอยู่" ทำให้ประชาชนไม่มีการเตรียมพร้อม หรือไม่เชื่อมั่นต่อคำเตือนภัยของภาครัฐ ส่งผลให้อุทกภัยรอบนี้เกิดความสูญเสียรุนแรงกว่าทุกครั้ง

2.2 การเตือนภัยและสื่อสารสาธารณะ ปีนี้แม้ว่าจะมีการใช้ Cell Broadcast  เตือนภัยเข้าสู่ระบบสมาร์ทโฟนของประชาชน รวมถึงการประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุฯในส่วนกลาง และในพื้นที่ เนื่องจากการใช้คำที่สื่อสาร เป็นไปในลักษณะกว้าง ไม่มีรายละเอียดที่จะทำให้ประชาชนรับรู้ระดับน้ำ หรือความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น การสื่อภาษาเช่นนี้ไม่ได้ปรับให้เข้ากับยุคสมัยแห่งข้อมูลข่าวสาร และไม่ได้ประสานงานการจัดการกับหน่วยระดับจังหวัด ขณะที่มีเพจเตือนภัยของภาคเอกชนเกิดขึ้นจำนวนมาก ตามยุคสมัยที่ข้อมูลความรู้เข้าถึงได้ง่าย ทำให้เกิดความเปรียบเทียบได้ง่าย หลายเพจหรือนักวิชาการทำงานเชิงรุก สื่อสารกับประชาชนโดยตรง บวกกับความพยายามรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรหรือของรัฐ ไม่อยากสร้างความตระหนกให้ประชาชน ทำให้เมื่อเกิดภัยพิบัติจริงความเชื่อมั่นต่อการทำงานของภาครัฐจึงลดลง

2.3 การบริหารจัดการของภาครัฐที่มีการเมืองกำกับ ภายใต้ระบบรวมศูนย์ เน้นการเมืองเชิงสร้างภาพมากกว่าแก้ปัญหาเชิงระบบ มีการสั่งการณ์แบบแบ่งความรับผิดชอบ ไม่สอดคล้องกับงานภัยพิบัติที่เป็นวงจรหรือมีการทำงานที่ต้องเชื่อมโยงกันและกัน การมาของนายกฯ หรือนักการเมืองเน้นการสร้างภาพในลักษณะฮีโร่หรือสะท้อนภาวะการนำมากกว่าการทำงานเป็นทีม สื่อสารเชิงบวกไม่สื่อความจริง ประกอบกับพื้นฐานของภูมิประเทศที่เข้าถึงยาก มีสิ่งกีดขวางไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือทั้งการอพยพ หรือนำกลุ่มเปราะบางออกมาจากให้ทันสถานการณ์ ขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้เกิดในช่วงวันหยุด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจำนวนมากกลับบ้านและประสบเหตุอุทกภัยไม่สามารถออกมาประจำการ ท้องถิ่นหลักระบบล่ม เครื่องมืออุปกรณ์เสียหาย ผู้ว่าราชการจังหวัดก็เป็นหน้าใหม่ เพิ่งย้ายเข้ามา ประกาศให้อพยพ 100% แต่ไม่มีระบบสนับสนุนและสื่อสารวิธีการที่ชัดเจน และครม.มีมติประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้ทหารมาควบคุมและบริหารจัดการ แต่ก็มีศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) โครงสร้างหลายระดับนี้ไม่ได้สื่อสารต่อประชาชนให้ชัดเจนว่ามีการทำงานร่วมกันอย่างไร แม้จะมีศูนย์บัญชาการที่ค่ายเสนาณรงค์ แต่ก็เป็นเพียงสถานที่รวมพล รวมของบริจาค มากกว่าจะเป็น warroom ประสานสั่งการณ์ ได้แต่แบ่งงานในลักษณะแบ่งพื้นที่รับผิดชอบแล้วก็ต่างคนต่างทำ การทำงานในลักษณะรัฐราชการนำโดยประชาชนมีส่วนร่วมน้อยนี้ทำให้เกิดคำถามและความสับสน ไม่ทันกับสถานการณ์ช่วยชีวิตผู้คนและต้องประสานส่งต่อด้วยเหตุที่มีองค์กรที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ประชาชนที่ประสบภัยเองก็ไม่สามารถสื่อสารกันได้ด้วยการตัดไฟเพื่อความปลอดภัย

การแก้ปัญหาแบบสั่งการณ์ เน้นแต่การสื่อสารเพื่อการเมือง แต่ไม่เห็นผู้รับผิดชอบภาพรวมที่ชัดเจนในระดับพื้นที่ การทำงานในรูปแบบราชการที่การเมืองนำนี้ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนหลากมิิติ มีบริบทเฉพาะของพื้นที่ และมีผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก แม้มีความพยายามจัดระบบ แต่ก็มีความหลากหลายความคิด การบริหารในภาวะวิกฤตนี้ไม่มีใครกุมสภาพ ทำงานเชิงรับไปตามสถานการณ์ การเข้ามาของจิตอาสาจำนวนมาก ไม่มีการจัดระบบหรือประสานชี้เป้า หรือวางแผนการทำงานร่วม ข้อมูลจำนวนมากที่ถูกร้องขอไปยังช่องทางติดต่อทั้งภาครัฐและเอกชน ก็มาหลากหลายช่องทาง ทำให้เกิดภาวะ "ความหวังเทียม" มีแต่ข้อมูลความต้องการ แต่การช่วยเหลือที่เกิดผลมีน้อย และไม่เห็นภาพรวม ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน และเสียเวลาในการทำงาน

เท่ากับว่ามีเพียงการรับมือไปตามแต่ละองค์กรที่จะดำเนินการ และต่างใช้ระบบเครือข่ายของตนเป็นหลัก เป็นไปตามธรรมชาติมากกว่าบริหารจัดการ

เหล่านี้คือวิกฤตซ้อนวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับเมืองหาดใหญ่ และประเทศไทย

บันทึกเบื้องต้น โดยชาคริต โภชะเรือง
Cr ภาพจากหน่วยงานและอินเตอร์เนต


NHCO Q&A