11 กย.68 มูลนิธิพัฒนาการศึกษาบุคลากรสุขภาพแห่งชาติร่วมกับสมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลา กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดสงขลาและภาคีเครือข่าย จัดเวทีสาธารณะถอดบทเรียนและสานพลังความร่วมมือ“พัฒนากำลังคนเพื่อเสริมสร้างสุขภาพชุมชนจังหวัดสงขลา” ณ ห้องประชุม ชั้น 3 ศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ จังหวัดสงขลา มีผู้เข้าร่วมทั้ง on site และon line จำนวน 25 คน
ภาคเช้า
ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี มูลนิธิพัฒนาการศึกษาบุคลากรสุขภาพแห่งชาติ นำเสนอ “ทิศทางระบบสุขภาพและการบริหารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพระดับประเทศ” ถึงความท้าทายใหม่ๆ อาทิ โรคติดต่อ สังคมสูงวัย ภาวะโลกร้อน เทคโนโลยี โลกไร้พรมแดน ขณะเดียวกันสุขภาพก็คือสุขภาวะ ร่วมกันเสริมพลัง ยอมรับความหลากหลาย มีความเป็นธรรม มีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ตลอดจนการเรียนรู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง ค่านิยม เจตคติ ทักษะ ความรู้ การสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมีส่วนร่วมของท้องถิ่น นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ว่าสุขภาพดีสร้างและดูแลได้ด้วยตนเอง ครอบครัว เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม ระบบบริการ
คุณชาคริต โภชะเรือง สมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลา นำเสนอกรอบแนวคิดและความก้าวหน้าการดำเนินงานกำลังคนสุขภาพโดยภาคีเครือขายในจังหวัดสงขลา : กรณีงานปฐมภูมิและสังคมสูงวัย คือ ระบบสุขภาพมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน บนพื้นฐานสุขภาวะกาย จิต สังคม ปัญญา และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ซึ่งต้องอาศัยการร่วมพลังของพลเมืองและภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนผ่านการจัดการกำลังคนแนวใหม่ ทำงานแบบทีมสหวิชาชีพที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับบริการสุขภาพปฐมภูมิให้เป็นบริการหลัก ควบคู่กับการเชื่อมโยงระบบบริการให้เข้าถึงปัจจัยและสิทธิพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างครบวงจรไร้รอยต่อ โดยการเสริมพลังบุคลากรวิชาชีพและไม่ใช่วิชาชีพให้เป็นพลเมืองมีสมรรถนะและทัศนคติสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบสุขภาพที่เน้นการประสานเชื่อมโยงไปสู่คุณภาพชีวิต นำภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นสร้างมูลค่าและคุณค่าสนับสนุนการบริการในรูปแบบที่หลากหลาย มีการกระจายตัวของบุคลากรและทีม สร้างการมีส่วนร่วมและร่วมมือกันเสริมสร้างศักยภาพประชาชนให้มีความรอบรู้และทักษะทั้งด้านสุขภาพและทักษะชีวิตที่นำสู่การเปลี่ยนแปลง โดยมีกลไกสนับสนุนนโยบาย ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
ดำเนินการผ่านแนวคิดหลักคือ การอภิบาลระบบสุขภาพโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย โดยพัฒนาระบบสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ การมี 1.Core team think tank จัดทำแผนปฏิบัติการ ประสานงาน 2.พัฒนาระบบสนับสนุน ศูนย์เติมสุข Data center โดย อบจ.สงขลา ประสานกลไกตามระบบราชการ 3.สมัชชาพลเมืองสงขลา/เวทีสาธารณะกำหนดเป้าร่วม สร้างการมีส่วนร่วม จัดการความรู้ ชื่นชมพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ติดตามผล และสัมพันธ์กับกรอบคิด สุขภาพ คือสุขภาวะ...กาย จิต สังคม ปัญญา มีการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ทุกกลุ่มวัยและทุกระดับ การทำสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้เอื้อต่อสุขภาวะ การมีส่วนร่วมของทุุกภาคส่วน
มีความก้าวหน้าการดำเนินงานที่ผ่านมาดังนี้
1.การพัฒนาศักยภาพประชาชนอย่างจริงจัง ที่ดำเนินการโดยอบจ./กสพ./สสจ. สถาบันการศึกษา พชอ. การทำแผนรองรับสังคมสูงวัย การทำแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จังหวัดของ 5 มหาวิทยาลัย การแพทย์ทางร่วม และการศึกษาแบบยืดหยุ่น
2.พลิกโฉมการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพแนวใหม่ มีการดำเนินงานสำคัญ อาทิ ความสุขเริ่มที่บ้าน : การมีสถาปนิกอาสา ออกแบบบ้านให้คนพิการติดเตียง/พมจ.ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ นักกายภาพบำบัดเชิงรุก ดำเนินการธนาคารสุขภาพ การพัฒนาศักยภาพ HCG,CG,yang care, นักบริบาล, อสม. การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเชิงรุกสถานศึกษา โรงงาน ชุมชน การพัฒนารถรับส่งผู้ป่วยพบแพทย์ การสร้างแกนนำผ่านแผนงานร่วมทุนฯสงขลาประเด็นยาเสพติดและสุขภาพจิต การทำ Day care ในอปท.
3.ส่งเสริมระบบการทำงาน และการจ้างงานกำลังคนด้านสุขภาพที่มีให้เต็มศักยภาพ มีการจัดระบบผ่านธุรกิจเพื่อสังคม iMedCare ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน การพัฒนา CG หรือสปสช.จ้างงาน นักบริบาล เป็นต้น
4.สร้างความสามารถแข่งขันด้านเศรษฐกิจของประเทศ มีตัวอย่างเช่น ศูนย์ชีวาสุข ทน.หาดใหญ่ ม.อ.และมหาวิทยาลัยอื่นๆ พัฒนา wellness
คุณฐิตารีย์ เชื้อพราหมณ์ กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดสงขลา นำเสนองานของอบจ.สงขลาที่มีพัฒนาการตั้งแต่งานการแพทย์ฉุกเฉิน มาถึงกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัด การถ่ายโอนรพ.สต.และแผนงานร่วมทุนฯสงขลา ที่ยกระดับการทำงานแบบเดิม "บอก" และ "เบิก" บุคลากรเดิมต้องการแรงจูงใจ มาเสริมภาระงาน มาสู่การทำงานแบบมีส่วนร่วมและเชิงรุกตามสภาพปัญหา โดยมีเวทีกลางประสานความร่วมมือวิเคราะห์ช่องว่างแล้วเติมเต็มระบบสุขภาพในพื้นที่ และเสริมว่าต้องการนักจัดการสุขภาวะเป็นกำลังคนแนวใหม่มากขึ้น พร้อมยกตัวอย่างการทำงานการพัฒนาระบบบริการ คัดกรองเชิงรุกมะเร็งปากมดลูกให้กับสตรีสงขลา การปรับบ้านให้คนพิการติดเตียงสิทธิ์บัตรทอง และการพัฒนาระบบรถโดยสารสาธารณะเพื่อบริการผู้ป่วยพบแพทย์
ดร.จามีกร มะลิซ้อน คณะสถาปัตย์ มทร.ศรีวิชัย สะท้อนบทเรียนการเรียนรู้ของสถาปนิกรุ่นใหม่ ที่เป็นการพัฒนากำลังคนที่ไม่ใช่องค์กรวิชาชีพด้านสาธารณสุข นำความรู้ทางสถาปัตยกรรมมาใช้กับผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องเรียนรู้มิติทางการแพทย์ ใช้โจทย์จากหน้างาน และประชาชนเป็นตัวตั้งในการพัฒนาออกแบบบ้านคนพิการติดเตียงรายหลัง
ผศ.ดร.ศดานนท์ วัตตธรรม คณะมนุษย์และสังคมศาสตร์ ม.ราชภัฎสงขลา นำเสนอการวิจัยในพื้นที่ห่างไกล เช่น ตำบลบาโหย ตำบลคูหา อำเภอสะบ้าย้อย เพื่อพัฒนาต้นแบบการจัดบริการรถรับส่งผู้ป่วยพบแพทย์ที่ดำเนินการโดยเครือข่ายไปเสริมและลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบบริการของผู้ป่วย
ผศ.ดร.แสงอรุณ อิสระมาลัย คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำผลการวิจัยการดูแลผู้สูงอายุในเขตเมือง พัฒนาเป็นหลักสุตรดูแลผู้สูงอายุที่บ้านและร่วมกับมูลนิธิชุมชนสงขลา จัดตั้งธุรกิจเพื่อสังคม iMedCare ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ด้วยกำลังคนผู้ดูแลที่บ้าน ที่ได้อบรมไปกว่า 300 คน และเปิดบริการไปเมื่อปี 2566
รศ.ดร.จุฑารัตน์ สถิรปัญญา คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำเสนอข้อมูลสำคัญ ประชากรสงขลามี 1,413,130 คน มากกว่า 50% อยู่ในเขตเทศบาล เกือบ 50% อยู่ในอำเภอเมือง หาดใหญ่ และ สะเดา(ไม่นับประชากรแฝง) โครงสร้างประชากร ปี 2566 ประชากรวัยเด็ก (0 -14 ปี) 18.59% วัยแรงงาน (15 -59 ปี) 63.98%ผู้สูงอายุ 17.43% อัตราส่วนพึ่งพิง 56.29% อายุขัยเฉลี่ย ปี 2567 เท่ากับ 79 ปี อายุขัยเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีเท่ากับ 72 ปี ต่างกัน 7 ปี ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์มีสัดส่วนต่อประชากรเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยของภาคและประเทศ แต่กระจุกตัวในเขตเมืองและเสนอทิศทางพัฒนาต่อไปว่า ควรกำหนดระดับขอบเขตของพื้นที่ (อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน)ร่วมรับรู้ วางแผน ดำเนินการ ภายใต้ข้อมูลของพื้นที่ (หน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น ประชาสังคม ฯลฯ)ติดตาม ประเมินผล จัดการความรู้ คลังความรู้ ปฏิบัติการ ในพื้นที่
สอดรับกับข้อเสนอแนะของ นพ.สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ ว่าระดับอำเภอจะเป็นจุดคานงัดสำคัญในการประสานงานโดยมีตำบลเป็นพื้นที่ปฎิบัติการ การทำงานของสงขลาเน้นเครือข่ายแนวราบ มีเจ้าภาพหลักดำเนินการแต่ละเรื่อง มีพื้นที่กลางในการทำงานร่วมกันบนฐานข้อมูลเดียวกันและเสริมแนวคิดการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ ให้แพทย์เรียนรู้ชุมชน มีครัวเรือนรับผิดชอบที่ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าใจปัจจัยกำหนดสุขภาพที่มากกว่าระบบบริการ
นางสาวอาบทิพย์ เพ็ชรสกุล ศูนย์ชีวาสุข ทน.หาดใหญ่ เสนอแนวทางของสงขลาว่านี่คือ การสร้างนวตกรรมคน บนฐานคิดพึ่งตนเอง พร้อมสะท้อนปัจจัยสำคัญอื่นๆ คือ การมีผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคนในพื้นที่ การมีนโยบายของเมืองเปิดทาง รวมถึงคนทำงานเองต้องมีความยืดหยุ่น ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง มีความต่อเนื่องในการทำงาน โดยศูนย์ชีวาสุขได้สร้างนักจัดการสุขภาพ ให้เป็น Health Coach และพื้นที่เองยังต้องการหลักสูตรใหม่ๆ เรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยน อาทิ การนวด รัตนบำบัด อาหาร ที่นำศาสตร์อายุเวชมาปรับใช้ให้กับผู้ป่วย
ภาคบ่าย
คุณชาคริต โภชะเรือง ทบทวนพัฒนาการของขบวนสร้างสุขภาวะในพื้นที่จังหวัดสงขลาในแต่ละช่วงเวลาจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน สะท้อนการก่อตัวขององค์กรชุมชน NGOz ภาคประชาสังคม การก่อตัวของภาคีตระกูลส.ที่มาพร้อมแนวคิดปฏิรูประบบสุขภาพ การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายผ่านขบวนแผนสุขภาพจังหวัด วาระพลเมือง และวิสัยทัศน์สงขลา 2570 ที่มีองค์กรเครือข่ายมีส่วนร่วมอย่างหลากหลาย กว้างขวาง มีการเปลี่ยนแปลงทั้งก้าวหน้าและต้องทบทวนปรับปรุง ท่ามกลางปัญหาร่วมที่คุกคามทั้งมิติการเมือง โครงการขนาดใหญ่ ความคิดเห็นที่ขัดแย้ง แตกต่าง อาศัยการเรียนรู้และมีส่วนร่วมผ่านเวทีสาธารณะ เวทีการเรียนรู้ที่มีอย่างมากมาย
นอกจากนั้นยังมีเครือข่ายร่วมนำเสนอแนวทางดำเนินงานที่มาจากภาคส่วนที่มิใช่ระบบบริการ ได้แก่ คุณนิพนธ์ รัตนาคม มูลนิธิอาสาสร้างสุข เล่าการดำเนินงานลดข่องว่างการเข้าถึงการศึกษาและการพัฒนารูปแบบการศึกษาแบบยืดหยุ่น 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ มีการเรียนรู้ที่อยู่นอกห้องเรียนสัมพันธ์กับอาชีพ คุณอะหมัด หลีขาหรี วิสาหกิจส้มจุกจะนะ นำเสนอการใช้การแพทย์ทางร่วม ปรับพฤติกรรมความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังให้กับชุมชน ตำบลแค บนฐานการเรียนรู้รายคน สอดคล้องกับวิถีชุมชน และคุณชาญวิฑูร สุขสว่างไกร สมาคมการท่องเที่ยวขุมชน/เครือข่ายองค์กรงดเหล้าสงขลา/สภาองค์กรชุมชน ที่มีการทำงานระดับพื้นที่ตำบล ร่วมกันเสริมการทำงานของภาครัฐ เสริมการเรียนรู้การแพทย์พื้นบ้าน พัฒนาคน
ข้อเสนอแนะอื่นๆจากการแลกเปลี่ยน
1) นักจัดการสุขภาวะ ควรมีทักษะและความรู้การบริหารจัดการ การเชื่อมโยงเครือข่าย การสื่อสาร การวางแผน การคิดและทำงาน เปิดพื้นที่การทำงานด้านบุคลากรที่มาจากภาคีเครือข่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
2) การทำงานให้ความสำคัญกับผู้นำศาสนา พระ หมอ ครู มากขึ้น มีการทำงานแบบเครือข่าย พัฒนาศักยภาพและมีข้อมูลสนับสนุน
3) การสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลง มาจากการเรียนรู้ผ่านหลักสูตรต่างๆ และเรียนรู้จากการลงมือทำ สะสมประสบการณ์จนเกิดความรู้จากการปฏิบัติ ให้เน้นการลองทำ
4) ฐานคิดสำคัญ คือการพึ่งตนเอง รู้จักตนเอง เสริมด้วยเครือข่ายเติมเต็ม แชร์ทรัพยากร งาน เงิน สิ่งของ ข้อมูล บนเป้าหมายประโยชน์ประชาชน ปัญหาร่วม และความยั่งยืน (SDG)
5) สร้างตัวแบบที่หลากหลาย เป็นไปตามบริบท ไม่ขยายผลแบบเสื่อโหล มีพื้นที่การเรียนรู้เพื่อขยายผล ปรับใช้
6) ร่วมกันค้นหาผู้นำ ประสานเข้ามาร่วมกันเป็นเครือข่าย
7) คำนึงของวิธีคิดที่แตกต่างของแต่ละ Gen รวมถึง Gender
8) ภาคประชาสังคม ทำหน้าที่ตัวกวน ช่วยกระตุ้น ให้เกิดการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง