“พลังจิตอาสา กับประเด็นสาธารณะ” | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

   เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ณ ที่อาคารสุขภาพแห่งชาติของเรา สามองค์กรสุขภาพตระกูล ส. คือ สช. สวรส.และสรพ. ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ “เป็นองค์กรร่วมต่อต้านทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล” นับเป็นอีกจังหวะก้าวหนึ่งที่ผมอยากให้ภาคีเครือข่ายคอยติดตามความเคลื่อนไหวและเข้าร่วมขบวนกันตามอัธยาศัย เพื่อเสริมสร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน สังคมเข้มแข็งและสังคมคุณธรรมไปพร้อมๆ กัน
 
   ในรอบเดือนที่ผ่านมา จากการเดินสายยกขบวนไปเยี่ยมคารวะและปรึกษาหารือกับท่านปลัดกระทรวงต่างๆ ทำให้ทีมบริหารของ สช. ได้มีโอกาสเรียนรู้ รับฟังเสียงสะท้อนและรับข้อเสนอแนะที่มีคุณค่า อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการพัฒนากระบวนการทำงานขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ(4PW) สู่ยุคใหม่
 
   มีเสียงสะท้อนหนึ่งบอกเราว่า สมัชชาสุขภาพระดับชาติที่จัดปีละครั้งนั้นมีประเด็นที่ยิบย่อยมากไปหน่อย จนทำให้ขาดโอกาสในการร่วมกันโฟกัสเรื่องใหญ่ๆที่ต้องอาศัยการผนึกกำลังกันแบบข้ามกระทรวงในขณะเดียวกันก็มีเสียงสนับสนุนให้ใช้กระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดในการขับเคลื่อนและจัดการปัญหาสาธารณะในพื้นที่ของตนแบบครบวงจร โดยไม่ต้องรอเข้าคิวบรรจุวาระที่สมัชชาส่วนกลาง
 
   นอกจากนั้น หลายกระทรวงยังให้ความสนใจที่จะนำเครื่องมือสมัชชาสุขภาพเชิงประเด็น ไปปรับประยุกต์ใช้เพื่อการหาทางออกทางเลือกที่สร้างสรรค์ใหม่ๆสำหรับความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้รับผลกระทบจากนโยบายสาธารณะที่เป็นระเบียบวาระสำคัญของชาติและนโยบายของรัฐบาล เช่น ปัญหาระบบจัดการขยะแบบยั่งยืน ปัญหาการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจร ปัญหาสัมปทานเหมืองแร่ หรือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน
 
   อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับรู้ คือเรื่องระบบงานอาสาสมัคร ซึ่งทุกกระทรวงต่างมีอาสาสมัครภาคประชาชนที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนภารกิจเฉพาะของหน่วยงาน เริ่มจากกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นต้นแบบ มี อสม.ปฏิบัติงานร่วมล้านคน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ก็มี อพม. กรมป่าไม้มีราษฎรอาสาพิทักษ์ป่า (รสทป.) กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมมี ทสม. กระทรวงมหาดไทยมีอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ฯลฯ
 
   อย่างไรก็ตาม งานจิตอาสาที่เกิดขึ้นและมีพัฒนาการเรื่อยมาในประเทศไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่มักมีลักษณะ เป็น“งานจิตอาสาเชิงประเด็น” ซึ่งเป็นไปเพื่อรับใช้ภารกิจขององค์กรแม่ข่าย คือกระทรวง หรือหน่วยงานส่วนกลาง จึงทำให้ในพื้นที่ทุกจังหวัด อำเภอและตำบลหมู่บ้านทั่วประเทศ เต็มไปด้วยอาสาสมัครในชื่อต่างๆ อันสังกัดองค์กรแม่ข่ายส่วนกลางที่มีระบบสั่งการหรือนโยบายลงมาในแนวดิ่ง แต่ละคนมีเสื้ออาสาสมัครคนละหลายๆ สีหลายสังกัดไว้ใช้สลับกัน
 
   เพื่อเปิดโอกาสให้จังหวัด อำเภอและชุมชนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง โดยสามารถกำหนดตนเองและจัดการตนเองได้มากขึ้น สช. จึงมีความสนใจที่จะริเริ่มบุกเบิกงานจิตอาสาในกรอบแนวคิดใหม่ กล่าวคือ เป็นงานอาสาสมัครโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน หรือ“งานจิตอาสาเชิงพื้นที่” ซึ่งมิได้มีการสร้างใหม่ แต่เป็นการถักทอ เชื่อมร้อยอาสาสมัครเพื่อสังคมทุกประเภทในพื้นจังหวัดและอำเภอ ให้เข้ามาทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายอย่างบูรณาการ โดยมีโจทย์ปัญหาสาธารณะของประชาชนและชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง
 
   ทุกสังคมย่อมมีองค์ประกอบของประชากรที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มประชากรที่แข็งแรงและกลุ่มประชากรที่ยากลำบาก สังคมสุขภาวะอันเป็นเป้าหมายปลายทางของกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมของเรา จึงควรเป็นสังคมที่มีค่านิยมของการให้ การเสียสละ การช่วยเหลือเกื้อกูลและเอื้ออาทรกัน เป็นค่านิยมแบบจิตอาสา ซึ่งผู้ที่แข็งแรงกว่ายื่นมือไปช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอและยากลำบาก เพื่อให้พวกเขาผ่านพ้นความเดือดร้อนเฉพาะหน้าและสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพสู่ความเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ในระยะยาว
 
   สังคมสุขภาวะ หมายถึงสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ซึ่งมักประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญอย่างน้อย ๓ ประการ ได้แก่ เป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน เป็นสังคมที่เข้มแข็ง และเป็นสังคมคุณธรรม
 
   สช.เล็งเห็นว่า งานจิตอาสาในแนวทางการรวมพลังทุกภาคีเครือข่ายแบบที่เรียกว่า “เป็นประชา-รัฐ” เพื่อช่วยเหลือผู้ยากลำบากในชุมชนท้องถิ่น หรือการลงมือสร้างระบบเฝ้าระวังและจัดการปัญหาพิบัติภัยชุมชนด้วยตนเอง จะเป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดประการหนึ่งในการเชื่อมโยงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อก้าวสู่ประเทศไทย ๔.๐ เพราะสามารถสะท้อนคุณลักษณะของสังคมทั้งสามอย่างได้
 
   และเพื่อพัฒนาระบบสนับสนุนกระบวนการทำงานจิตอาสา การช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในภาวะยากลำบากและสร้างเสริมความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นในระยะยาว บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเลยนะครับ.
 

รูปภาพ