“การเข้าถึงและการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างมีส่วนร่วมและสร้างสรรค์” เป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกตั้งหัวข้อไว้เมื่อปลายปี ๒๕๖๗ ว่าจะมีการพัฒนาเข้าสู่ระเบียบวาระในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๘ ก่อนที่ในภายหลังจะมีการเปลี่ยนแนวทางของมติเป็น “การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์” ซึ่งช่วยกำหนดขอบเขตให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าเรื่องนี้จะเป็นการมุ่งเน้นโดยตรงไปที่ ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ หรือ ‘โซลาร์เซลล์’
รศ. ดร.สุธา ขาวเธียร ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ อธิบายว่า แม้เริ่มแรกของการพัฒนาประเด็นนี้จะมองไปที่ภาพรวมในการส่งเสริมการใช้ ‘พลังงานทดแทน’ อย่างมีประสิทธิภาพ สอดรับกับทิศทางการพัฒนาของประเทศ แต่เมื่อพิจารณาร่วมกันแล้วมองว่า ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ น่าจะมีความเร่งด่วนและควรหยิบยกออกมาพูดถึงก่อน เนื่องด้วยนโยบายหรือการขับเคลื่อนต่างๆ ที่มีอยู่มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์ภาคประชาชน ไปจนถึงการส่งเสริมของภาคอุตสาหกรรม
เขาชี้ว่าประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ อาจไม่ใช่มิติในเชิงของการพัฒนาเทคโนโลยี หรือเทคนิควิธีการใช้งานเท่านั้น หากแต่มิติที่อ่อนไหวลึกซึ้งกว่านั้น คือประเด็นในแง่ของ ‘โอกาสการเข้าถึงอย่างเป็นธรรม’ เพราะเป็นที่น่ากังวลว่าการพัฒนาในหลายครั้ง มักจะมีคนบางกลุ่มที่ไม่ได้รับประโยชน์หรือได้รับผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในกลุ่มเปราะบางของสังคม เช่น คนที่มีรายได้น้อย เป็นต้น
“ที่ผ่านมาเวลาเราพูดถึงโซลาร์เซลล์ มักจะกลายเป็นว่ากลุ่มคนที่มีรายได้เยอะอยู่แล้ว ถึงจะติดตั้งได้ เพราะเขามีเงินลงทุน ขณะเดียวกันเขาก็อาจได้ประโยชน์จากการขายไฟฟ้ากลับเป็นรายได้เพิ่มอีก ส่วนคนที่ไม่มีเงินเริ่มต้น ย่อมไม่มีโอกาสที่จะลงทุนติดตั้ง นั่นยังไม่นับรวมถึงประเด็นที่อาจไปกระทบกับโครงสร้างค่าไฟฟ้า หากคนมีเงินหันไปติดตั้งโซลาร์เซลล์ใช้เองมากขึ้น ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายประจำจากโครงสร้างพื้นฐานที่รวมอยู่ในค่าไฟฟ้า กลับมีตัวหารน้อยลง ยิ่งซ้ำเติมให้คนมีรายได้น้อยจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้น นี่คือลักษณะของความไม่เป็นธรรมที่เรากังวลว่าอาจเกิดขึ้นกับการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน” รศ. ดร.สุธา อธิบายให้เห็นภาพ
รศ. ดร.สุธา ขยายความต่อไปถึงรายละเอียดในเนื้อหาของมติ ที่ได้มีการมองครอบคลุมในทุกกระบวนการของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่กระบวนการได้มาซึ่งแผงโซลาร์เซลล์ การผลิต/นำเข้า ไปสู่การติดตั้ง/ใช้งาน มีมิติของกลไกการสนับสนุนทางการเงินการคลัง การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การถ่ายทอดองค์ความรู้เข้าไปถึงในระดับพื้นที่ที่มีการใช้งานแผง ผ่านองคาพยพที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สถาบันการอาชีวศึกษา ฯลฯ ซึ่งจะเป็นโอกาสของการสร้างงานใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการบำรุงรักษาแผงโซลาร์เซลล์ได้อีกด้วย
ความสำคัญยังเรื่อยมาถึงกระบวนการภายหลังเสร็จสิ้นการใช้แผง ขั้นตอนของการรื้อถอน การบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุ จะต้องมีการจัดการกับของเสียอย่างไร หรือหากมีการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่เป็นแผงมือสอง แล้วจะมีการควบคุมกำกับมาตรฐานอย่างไร ทั้งหมดคือความครอบคลุมของกระบวนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ภายใต้เนื้อหามติสมัชชาสุขภาพประเด็นนี้
ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ ระบุว่า ภายในคณะทำงานเองก็ได้มีการนำเอาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งในฝั่งของผู้ผลิต ผู้กำหนดนโยบาย ผู้กำกับดูแล หน่วยงานท้องถิ่น ไปจนถึงตัวแทนภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมกำหนดทิศทาง ร่วมรับรู้ถึงความสำคัญ และได้ร่วมกันรับทราบถึงบทบาทหน้าที่ที่มีความชัดเจนมากขึ้นของแต่ละภาคส่วน จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นนโยบายสาธารณะที่ทุกคนมีพันธสัญญาและเห็นภาพร่วมกันว่าจะเดินในทิศทางอย่างไรต่อไป
“ที่ผ่านมาพอเราไม่เคยแยกแต่ละประเด็นออกมา ก็เลยเกิดความคลุมเครือว่าส่วนไหนเป็นความรับผิดชอบของใคร หรือการดำเนินงานทั้งหมดนี้ควรเตรียมการอย่างไร แต่พอมีมติสมัชชาสุขภาพที่ระบุถึงแนวทางการเดินของแต่ละส่วน น่าจะช่วยให้ทุกคนสามารถกลับไปวางแผนดำเนินการได้ชัดเจนขึ้น ในส่วนที่ตัวเองทำได้เลยทันที ส่วนกลไกสำคัญอื่นๆ ที่ควรจะต้องเกิดขึ้น เช่น ระเบียบ กฎหมาย ฯลฯ ก็เชื่อว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหลังจากนี้ จะเป็นโอกาสให้สิ่งเหล่านี้ถูกผลักดันได้มากยิ่งขึ้น” รศ. ดร.สุธา วิเคราะห์ถึงความสำเร็จระยะสั้น (Quick Win) ที่จะเกิดขึ้นหลังมีฉันทมติ
เขาให้กรณีตัวอย่างถึง “พ.ร.บ.จัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …” ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ควรจะต้องมีเพื่อจัดการกับแผงโซลาร์เซลล์ แต่ที่ผ่านมากฎหมายดังกล่าวมักสะดุดไปในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองหลายครั้งที่ผ่านมา แต่เขาเชื่อว่าหลังจากนี้ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ก็จะถูกผลักดันไปได้ด้วยความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอกจากสังคมโลก ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องร่วมเดินไปสู่แนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Net Zero
ส่วนปัจจัยภายในเมื่อเรื่องนี้ได้กลายเป็นฉันทมติที่ทุกภาคส่วนร่วมกันรับรอง เป็นมติสมัชชาสุขภาพที่ร้อยเรียงประเด็นต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันอย่างรอบด้าน ช่วยให้ผู้มีอำนาจสามารถทำความเข้าใจและนำไปปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันตัวมติสมัชชาสุขภาพเองก็ยังพูดถึงประเด็นของการติดตามความคืบหน้า ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางที่ช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ไม่ถูกนำเสนอแล้วเงียบหายไป
“คิดว่าความสำเร็จของมติ หาก Quick Win ตรงนี้เห็นผล เกิดเสียงตอบรับที่ดี ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราขยับไปทำในมิติของพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ได้ต่อไป ส่วนตัวอยากให้ในหลายประเด็นมีเวทีแบบนี้อีกเยอะๆ เพราะสมัชชาสุขภาพจะเป็นกลไกสำคัญช่วยแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อน ทำให้องคาพยพของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีโอกาสในการเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แล้วปัญหามันจะถูกนำไปแก้ไขได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดี” รศ. ดร.สุธา ทิ้งท้าย