มติ WHA และการทำงานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ
ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพที่เกิดจากปัจจัยสังคมยังคงเป็นปัญหาท้าทายทั่วโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ริเริ่มการทำงานด้านนี้อย่างจริงจังตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ผ่านคณะกรรมาธิการว่าด้วยปัจจัยสังคมที่กำหนดสุขภาพ (Commission on Social Determinants of Health) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ “ปิดช่องว่างด้านสุขภาพภายในหนึ่งชั่วอายุคน” และได้เผยแพร่รายงานฉบับแรกในปี ค.ศ. 2008 โดยเน้นว่า “ความอยุติธรรมทางสังคมคือสาเหตุการเสียชีวิตในวงกว้าง” ต่อมาในปี ค.ศ. 2021 สมัชชาอนามัยโลก (World Health Assembly: WHA) สมัยที่ 74 ได้มีมติที่ WHA 74.16 โดยขอให้ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกจัดทำรายงานฉบับปรับปรุงเกี่ยวกับ
-สถานการณ์ของปัจจัยสังคมที่กำหนดความเป็นธรรมด้านสุขภาพ
-ผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้ต่อสุขภาพและความเป็นธรรม
-ความก้าวหน้าในการดำเนินงานที่ผ่านมา
-ข้อเสนอแนะเพื่อการดำเนินงานในอนาคต
WHO ได้เปิดตัวรายงาน World Report on Social Determinants of Health Equity (2025) ไปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา และรายงานนี้เป็นผลลัพธ์โดยตรงที่ตอบสนองต่อมติดังกล่าว และเน้นการขับเคลื่อนนโยบายเชิงระบบ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสุขภาวะที่เป็นธรรมในทุกประเทศ
จากปัจจัยสังคมสู่การลงมือทำ
ในรายงานฉบับนี้ระบุว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 ความแตกต่างของอายุขัยเฉลี่ยระหว่างประเทศสูงถึง 33 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่ไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากปัจจัยสังคมที่กำหนดความเป็นธรรมด้านสุขภาพ เช่น การศึกษา รายได้ ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัย การเข้าถึงบริการสาธารณะ และโอกาสทางสังคม ปัจจัยเหล่านี้ถูกกำหนดโดยโครงสร้างนโยบาย เศรษฐกิจ และสังคมที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาวะของประชาชน วิกฤตโควิด-19 ได้เน้นย้ำช่องว่างดังกล่าว โดยกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบมากกว่าทั้งในแง่การติดเชื้อ อัตราการเสียชีวิต และการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนและบริการสาธารณสุข เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม
-
WHO เสนอ 4 แนวทางหลักในการแก้ไข ได้แก่
1.การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการลงทุนในบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน
2.การจัดการกับการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบ และผลกระทบจากความขัดแย้งและการย้ายถิ่น
3.การรับมือกับเมกะเทรนด์ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและดิจิทัล ให้ส่งเสริมสุขภาวะที่เท่าเทียม
4.การพัฒนากลไกธรรมาภิบาลที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม การติดตาม และการตัดสินใจบนฐานข้อมูล
ไทยกับความพยายามลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ
ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ที่ครอบคลุมประชากรเกือบทั้งหมด โดยสามารถลดอัตราค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระดับวิกฤต จาก 2.8% ของครัวเรือนทั้งหมดใน พ.ศ. 2553 เหลือ 2.1% ใน พ.ศ. 2564ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกในปีเดียวกันที่อยู่ที่ 13.5%
อย่างไรก็ตาม ประเทศยังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่เมืองกับชนบท ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยี และความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เช่น มลพิษทางอากาศและสารเคมีอันตราย ดังนั้นประเทศไทยจึงจำเป็นต้องพัฒนาแนวทาง HiAP (Health in All Policies) และส่งเสริมธรรมาภิบาลในทุกระดับ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายอย่างแท้จริง
การใช้กรอบปฏิบัติการของ WHO ในการติดตามปัจจัยสังคมฯ
ในปี ค.ศ. 2023 ประเทศไทยได้เริ่มต้นนำร่องการใช้กรอบปฏิบัติการขององค์การอนามัยโลก (WHO Operational Framework) สำหรับการติดตาม Social Determinants of Health Equity โดยจากตัวชี้วัดทั้งหมด 63 ตัว ประเทศไทยสามารถประเมินได้ว่า 46 ตัวชี้วัดมีความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ในบริบทของชาติ ซึ่งจะถูกจัดลำดับความสำคัญร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงสำนักงานสถิติแห่งชาติ เพื่อให้มั่นใจว่าตัวชี้วัดเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องและนำไปปฏิบัติได้จริง โดยตัวชี้วัดที่คัดเลือกสะท้อนหลักความเป็นธรรมด้านสุขภาพ ตามธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565 ซึ่งมีบทหลัก 12 บท ที่ให้แนวทางการส่งเสริมความเป็นธรรมในระบบสุขภาพของประเทศ
เรียบเรียงจาก World Report on Social Determinants of Health Equity (2025)