สช. จัดประชุมคณะทำงานเดินหน้าพัฒนานโยบายสาธารณะ “การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์” ร่วมกันพิจารณาปรับแก้ไข (ร่าง) เอกสารมติ เพิ่มความชัดเจนแนวทางส่งเสริมการใช้ “โซลาร์เซลล์” ครบวงจร ทั้งในแง่ผลิต-ติดตั้ง-ใช้งาน-ดูแล-จัดการซากแผงเมื่อหมดอายุการใช้งาน พร้อมดึงบทบาทท้องถิ่นมีส่วนร่วมบริหารจัดการ มุ่งสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงพลังงาน
เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดประชุมคณะทำงานพัฒนาประเด็น “การเข้าถึงและการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างมีส่วนร่วมและสร้างสรรค์” ครั้งที่ 3/2568 เพื่อร่วมกันพิจารณาปรับแก้ไข (ร่าง) เอกสารประเด็น “การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์” ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ที่เตรียมจัดขึ้นในวันที่ 27-28 พ.ย. 2568
สำหรับกรอบทิศทางนโยบาย (Policy Statement) ของมติดังกล่าวมีสาระสำคัญใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนากลไกนโยบาย กฎหมาย และการเงิน เพื่อปลดล็อกศักยภาพพลังงานชุมชน 2. เสริมสร้างบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนหลักในพื้นที่ 3. สร้างความเชื่อมั่นและคุ้มครองผู้บริโภคด้วยระบบมาตรฐานตลอดวงจรชีวิต 4. ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 5. ผลักดันการจัดการซากแผงโซลาร์เซลล์อย่างครบวงจรเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน
ดร.นาตยา พรหมทอง ผู้อำนวยการสำนักนโยบายสาธารณะภาคกลาง สช. เปิดเผยว่า ประเด็นในเรื่องของการเข้าถึงและการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด คือหนึ่งในนโยบายสาธารณะที่ถูกตั้งเป้าเสนอให้เป็นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 โดยได้มีการเริ่มพัฒนาร่างข้อเสนอนี้ตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค. 2567 เรื่อยมา กระทั่งภายหลังการประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2568 จึงได้มีการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อมติให้มุ่งเน้นเฉพาะเรื่องของพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ดร.นาตยา กล่าวว่า ขณะเดียวกันคณะทำงานฯ ยังได้จัดเวทีปรึกษาหารือถกแถลงนโยบายจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นดังกล่าว ซึ่งได้มีการจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2568 โดยเวทีดังกล่าวมีภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมทั้งทางออนไซต์และออนไลน์รวมกว่า 60 คน เพื่อหารือใน 3 กลุ่มประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1. มาตรการจูงใจและส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน 2. ข้อกังวลและข้อเสนอเพื่อให้เกิดการจัดการวงจรพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหมาะสม 3. บทบาทของกลไกในระดับพื้นที่ ท้องถิ่น ชุมชน ต่อการเข้าถึงและเปลี่ยนผ่านพลังงานแสงอาทิตย์
สำหรับเนื้อหาจากเวทีการปรึกษาหารือถกแถลงนโยบายฯ พบว่ามีการพูดถึงประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของข้อมูลความรู้ที่เหมาะสมต่อการตัดสินใจใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มาตรการในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ที่ชัดเจน บทบาทของหน่วยงานท้องถิ่นในระดับต่างๆ มาตรฐานการกำกับติดตาม การดูแลรักษา และการกำจัดซากแผงที่ถูกวิธี กลไกการขออนุญาตและการติดตั้ง รวมไปถึงประเด็นในเรื่องของกลุ่มเปราะบาง หรือประเด็นของแผงโซลาร์เซลล์มือสอง เป็นต้น
นอกจากนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2568 ยังได้มีการประชุมของคณะอนุกรรมการกำกับ สนับสนุน และเชื่อมโยงกระบวนการสมัชชาสุขภาพ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นต่อแนวทางการขับเคลื่อนมตินี้ เช่น เขียนกรอบทิศทางนโยบายให้เห็นว่ามีการสร้างมูลค่าเพิ่มอะไรจากการทำเรื่องนี้ การเขียนข้อเสนอที่สื่อถึงความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ตลอดจนการนำกรอบแนวคิดการเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลพลังงาน หรือ “Strengthening Energy Governance systems” ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) มาใช้เป็นกรอบในการเขียนข้อเสนอเพื่อให้มีความครบถ้วน เป็นต้น
“มติสมัชชาฯ ประเด็นนี้พัฒนามาได้เร็ว เห็นภาพชัด และมาได้เกินครึ่งทางแล้ว ซึ่งทางคณะทำงานฯ จะรวบรวมเนื้อหาความเห็นและข้อเสนอทั้งหมดไปพิจารณาและปรับปรุง (ร่าง) เอกสาร ก่อนที่แผนการดำเนินงานต่อไปในช่วงเดือน ก.ค. จะมีการจัดเวที Policy Dialogue เพื่อให้เกิดการสื่อสารกระตุ้นประเด็นนี้ต่อสาธารณะ หลังจากนั้นในเดือน ส.ค. จะมีการจัดเวทีรับฟังความเห็นที่ขยายวงกว้างขึ้นทั้งในระดับชาติ และในระดับจังหวัด โดยคณะทำงานฯ ได้เลือก จ.สระบุรี ที่มีการขอติดตั้งโซลาร์ฟาร์มมากที่สุดในประเทศ ให้เป็นจังหวัดที่เกิดการขับเคลื่อนคู่ขนานในระดับพื้นที่ แล้วจึงนำมาปรับ (ร่าง) เอกสารครั้งสุดท้ายในเดือน ก.ย. เพื่อรอนำเข้าสู่การให้ฉันทมติร่วมกันในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เดือน พ.ย. ต่อไป” ดร.นาตยา กล่าว
ขณะที่ ดร.สิริภา จุลกาญจน์ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สำหรับเนื้อหาหลักใน (ร่าง) เอกสารประเด็นดังกล่าว จะพูดถึงการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหัวใจหลักเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม บนหลักการสำคัญ 3 ด้าน คือ 1. การมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาท พร้อมมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเปราะบาง 2. การเข้าถึงอย่างทั่วถึง ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ 3. การสร้างสรรค์ ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและแนวทางใหม่ๆ
ดร.สิริภา กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกเผชิญความท้าทายจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยประเทศไทยนับว่ามีศักยภาพในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่สูง ติดตั้งได้หลายรูปแบบ และเอื้อต่อการผลิตใช้เองทั้งของบุคคลและชุมชน อย่างไรก็ตามในการส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ จำเป็นต้องพิจารณาและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตลอดทั้งวงจรชีวิต กล่าวคือตั้งแต่กระบวนการผลิต การติดตั้ง การใช้งาน การดูแลรักษา ตลอดจนการจัดการเมื่อแผงและอุปกรณ์ต่างๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว
“ขณะเดียวกันเนื้อหาในมตินี้ก็จะมุ่งสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนทั่วไป และกลุ่มเปราะบาง เพราะหากการเปลี่ยนผ่านพลังงานยังเป็นไปในทิศทางเดิมที่เน้นการส่งเสริมรายปัจเจก ก็จะยิ่งทวีความเหลื่อมล้ำด้านพลังงานให้กว้างขึ้น จึงต้องเปลี่ยนมุมมองไปสู่การส่งเสริมในรูปแบบกลุ่มและชุมชน โดยออกแบบนโยบายและกลไกที่มุ่งเน้นให้ชุมชนและกลุ่มเปราะบางสามารถเป็นเจ้าของ และร่วมสร้างประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ได้จริง ไปพร้อมกับมีการจัดการเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ตลอดวงจรชีวิตอย่างเป็นระบบ” ดร.สิริภา กล่าว
นอกจากนี้ ภายในที่ประชุมคณะทำงานฯ ได้มีการหารือและให้ความเห็นในหลายประเด็น เช่น ขอบเขตความต้องการของกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งคนทั่วไปในบริบทของแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน, แนวคิดการฝึกทักษะช่างชุมชน เพื่อให้เกิดการดูแลรักษาแผงโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ได้ด้วยตนเอง ทั้งเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้, ประเด็นการจัดการขยะ การรีไซเคิล ของอุปกรณ์แต่ละส่วนที่มีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน รวมทั้งมีต้นทุนของค่าขนส่ง จึงควรจัดการใกล้แหล่งกำเนิด, ความสมดุลระหว่างการส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ผลิตใช้งานได้บางช่วงเวลา กับการผลิตไฟฟ้าที่ต้องเป็นกำลังหลักสำรองในภาพรวมของประเทศ เป็นต้น ซึ่งประเด็นทั้งหมดนี้จะถูกรวบรวมไปพิจารณาและปรับปรุงเนื้อหาภายใน (ร่าง) เอกสารต่อไป