Page 20 - โควิด-19 ภาพหสะท้อนความเปราะบาง ระบบสุขภาพเขตเมือง
P. 20

ชุมชนเมืองควบคุมโรค                         ส�ำนักงำนปลัด สธ. และตั้งส�ำนักงำนสำธำรณสุขจังหวัด
               ยากกว่าชนบท                                 (สสจ.) มำบังคับบัญชำโรงพยำบำลเหล่ำนี้แทน แต่ใน

                     นพ.สมศักดิ์ ฉำยภำพว่ำ หำกมองควำมเปรำะบำง  กทม. ซึ่งหน่วยบริกำรของทั้งสองส�ำนักแยกกัน จึงอำจ
               ในระบบสุขภำพเขตเมือง  ผ่ำนควำมพยำยำมในกำร   มีกำรท�ำงำนไม่ประสำนกันเท่ำที่ควร”                                      “ปัญหาคือไม่มีการจัด
               ควบคุมโควิด-19 ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ภำรกิจหลัก คือ      เมื่อมองย้อนกลับมำที่กลไก SRRT ซึ่ง กทม.อำจมี
               ๑. กำรควบคุมกำรแพร่ระบำดของโรค ๒. กำรรักษำผู้  น้อย  เพรำะยังมีอีกหนึ่งประเด็นคือกำรแบ่งเขตควำม                     โครงสร้างระบบพยาบาล
               ป่วยที่ติดเชื้อ และ ๓. กำรฉีดวัคซีนป้องกันโรค ควำม  รับผิดชอบของ กทม. ที่แบ่งกำรปกครองเป็นเขตต่ำงๆ
               แตกต่ำงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของเมืองใหญ่เมื่อเทียบ  และในแต่ละเขตจะมีโรงพยำบำล  หรือศูนย์บริกำร                    เป็นลําดับ หรือพูดง่ายๆ
               กับพื้นที่ชนบท ย่อมเป็นภำรกิจแรกนั่นคือ “กำรควบคุม  สำธำรณสุขไม่เท่ำกัน  เพรำะเครือข่ำยโครงสร้ำงของ                 คือ กทม. มีแต่โรงพยาบาลใหญ่
               กำรแพร่ระบำดของโรค”                         ระบบบริกำรนี้ ไม่ได้ถูกออกแบบหรือขยำยด้วยแนวคิด
                  แน่นอนว่ำเมืองใหญ่  หรืออย่ำงกรุงเทพมหำนคร   ที่ค�ำนึงถึงควำมครอบคลุมของประชำกร  ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้              กับโรงพยาบาลเอกชน
               (กทม.) นั้นควบคุมกำรแพร่ระบำดของโรคได้ยำกกว่ำ  ถูกพูดถึงมำนำนว่ำ กทม. ควรจะต้องมีกำรวำงแผน
               พื้นที่ชนบทมำก  แม้สำเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพรำะธรรมชำติ  เรื่องเหล่ำนี้ใหม่                                             เวลาชาวบ้านไม่สบายนิดหน่อย
               ของเขตเมืองที่ซับซ้อนกว่ำ  แต่อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเรื่อง     นั่นจึงเป็นเรื่องรำวที่แตกต่ำงกับประวัติศำสตร์ของ
               ส�ำคัญยิ่งกว่ำ คือธรรมชำติของระบบสำธำรณสุข ที่มี  สธ.  ที่ตลอดช่วง  60-70  ปีที่ผ่ำนมำ  ได้ขยำยควำม                 ก็ต้องไปโรงพยาบาล
               กำรจัดโครงสร้ำงกำรท�ำงำนที่ไม่เหมือนกัน     ครอบคลุมของหน่วยบริกำรไปในอ�ำเภอและต�ำบล ตำม                            พอเกิดโรคระบาดขึ้น
                  อำจำรย์สมศักดิ์เจำะจงลงไปถึงกลไกกำรควบคุม  ระดับต่ำงๆ ตั้งแต่ที่มีโรงพยำบำลอ�ำเภอทั่วประเทศ
               โรคระบำด ซึ่งในพื้นที่ชนบทจะมีสิ่งที่เรียกว่ำ Surveil-  มำจนถึงสถำนีอนำมัย หรือโรงพยำบำลส่งเสริมสุขภำพ              โรงพยาบาลต่างๆ
        ๑๘     lance and Rapid Response Team หรือ SRRT เพื่อ  ต�ำบล  (รพ.สต.)  ที่อำจกล่ำวได้ว่ำมีทีมสำธำรณสุข                                                                                            ๑๙
               ใช้ในกำรสอบสวนโรค แต่กลไกนี้อำจจะไม่มีใน กทม.   เข้ำไปยึดพื้นที่และดูแลประชำกรได้อย่ำงทั่วถึง                       ก็ไม่เคยถูกกําหนดให้มีบทบาท
               หรือเมืองใหญ่สเพรำะเมื่อเมืองขยำยตัวพัฒนำขึ้น      “ระบบย่อยอีกอย่ำงหนึ่งของกำรควบคุมโรค  คือ                       ในการควบคุมโรค
               ควำมรับผิดชอบในกำรจัดระบบบริกำรสำธำรณสุข    ระบบเฝ้ำระวัง จะเห็นเลยว่ำรำยงำนกำรเฝ้ำระวังโรคใน
               ในเขตเมืองก็จะเริ่มไปอยู่กับท้องถิ่น  หรือในกรณีของ   กทม. นับตั้งแต่ที่เคยท�ำมำนั้นยังอ่อนแอมำก เรำไม่รู้          หรืองานสร้างเสริมสุขภาพ
               กทม. ก็คือเมือง                             เลยว่ำมีโรคระบำดที่ไหนบ้ำงจนกว่ำจะมีข่ำวออกไป
                  ส�ำหรับเมืองในจังหวัดอื่นๆ  ที่ไม่ใช่  กทม.  อย่ำง  แล้ว”                                                        ป้องกันโรค เพราะโรงพยาบาล
               ตำมเทศบำลหรือท้องถิ่นต่ำงๆ แม้จะลุกขึ้นมำจัดระบบ                                                                    ไม่ใช่โครงสร้างหลัก
               บริกำรของตัวเอง แต่ก็ยังได้ประโยชน์จำกหน่วยบริกำร  โครงสร้างขนาดใหญ่
               ของกระทรวงสำธำรณสุข  (สธ.)  ที่มีอยู่ในเมืองนั้นๆ   กลไกระดับชุมชนอ่อนแอ                                            ที่จะมาทํางานในด้านนี้”
               อย่ำงไรก็ตำมส�ำหรับ กทม. ที่ สธ.ไม่ได้มีบทบำทหรือ     อย่ำงไรก็ตำม นพ.สมศักดิ์ มองว่ำ กทม. มีสิ่งหนึ่ง
               อ�ำนำจในกำรเข้ำมำดูแล ระบบสำธำรณสุขจึงกลำยเป็น  ที่อำจเรียกว่ำ “ควำมวำงใจ” เพรำะใน กทม. นั้นยังมี
               หน้ำที่หลักของ กทม. ผ่ำนกำรท�ำงำนของ 2 ส�ำนัก คือ   ภำคเอกชน มีโรงพยำบำลมหำวิทยำลัย ซึ่งในควำมเป็น
               ส�ำนักกำรแพทย์ และส�ำนักอนำมัย              จริงแล้ว กทม. มีทั้งจ�ำนวนหน่วยบริกำรและบุคลำกร
                  “หำกเทียบกัน  สธ.เคยมีหน่วยบริกำรของกรมกำร  ที่มำกกว่ำในต่ำงจังหวัด เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชำกร
               แพทย์ กับของกรมอนำมัย อันนึงดูเรื่องกำรรักษำ อีกอัน     “แต่ปัญหำคือไม่มีกำรจัดโครงสร้ำงระบบพยำบำล
               ดูเรื่องกำรป้องกันโรค ซึ่งเมื่อสมัย 40-50 ปีที่แล้ว มอง  เป็นล�ำดับ หรือพูดง่ำยๆ คือ กทม. มีแต่โรงพยำบำล
               เห็นกันว่ำแบบนี้จะท�ำให้กำรท�ำงำนไม่ประสำนกันจึง  ใหญ่  กับโรงพยำบำลเอกชน  เวลำชำวบ้ำนไม่สบำย
               มีกำรยุบเอำหน่วยบริกำรของทั้งสองกรมมำอยู่ภำยใต้  นิดหน่อยก็ต้องไปโรงพยำบำล  พอเกิดโรคระบำดขึ้น






        ฉบับ ๑๓๐ : กรกฎาคม ๒๕๖๔ฉบับ ๑๓๐ : กรกฎาคม ๒๕๖๔                                                                                                                              ฉบับ ๑๓๐ : กรกฎาคม ๒๕๖๔
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25