
รองนายกฯ “โสภณ” นั่งหัวโต๊ะประชุม “คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ” รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของ สช.-ภาคี ในการแก้ไขปัญหาการระบาด “บุหรี่ไฟฟ้า” หนุนเสริมเป้าหมาย “Quick Big Win” ปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล เผยกำลังสแกนค้นหาผู้เกี่ยวข้องยาเสพติดทั่วประเทศ เพื่อคัดกรอง-แบ่งสี-วางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ เตรียมนำเรื่องเข้า ครม. 11 พ.ย.นี้ พร้อมตั้ง “พญ.พรรณพิมล วิปุลากร” เป็นประธาน คจ.สช. เตรียมจัด “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 19” ต่อในปีหน้า

นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยที่ประชุมมีมติรับทราบความคืบหน้าการขับเคลื่อนนโยบายการปกป้องและคุ้มครองเด็ก เยาวชน จากบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งอยู่ภายใต้ มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกันดำเนินงาน ซึ่งสอดรับกับการประกาศเจตนารมณ์และเป้าหมายยิ่งใหญ่ Quick Big Win ของรัฐบาล ที่จะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง โดยรวมพลัง รักศรัทธา แก้ปัญหาเสพติดแบบบูรณาการ เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากผืนแผ่นดินไทย
สำหรับมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า เป็นนโยบายสาธารณะซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ได้มีมติรับทราบ และเห็นชอบ 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1. พัฒนาและจัดการองค์ความรู้ 2. สร้างการรับรู้ภยันตรายและการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้า 3. เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 4. พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกันควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 5. ยืนยันนโยบายและมาตรการป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า โดยที่คำนึงถึงพันธสัญญาที่ประเทศไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกและต้องดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก
นายโสภณ เปิดเผยว่า ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้านับเป็นหนึ่งในสารเสพติดที่กำลังบ่อนทำลายสังคมไทย เนื่องจากแพร่ระบาดรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ บุหรี่ไฟฟ้าจึงถือเป็นภัยมีอำนาจในการทำลายล้างสูง ทั้งในมิติเชิงสังคม เศรษฐกิจ สุขภาพ จึงเป็นหน้าที่ที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันหยุดยั้ง ปราบปราม และเฝ้าระวังไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นการพัฒนาของประเทศ ขณะเดียวกันโจทย์การแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ก็จะต้องมุ่งไปในสองส่วนคู่กันคือการศึกษา กับสุขภาพ
“ในการทำงาน ผมให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องคุณภาพของคน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ รวมทั้งการปกป้องคุ้มครองคนไทยจากยาเสพติด ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาก พร้อมกำหนดนโยบายในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขในเชิงบูรณการ ซึ่งจริงๆ แล้วจุดสำคัญคือความรอบรู้ การสร้างภูมิคุ้มกันให้ตั้งแต่เด็กและเยาวชน โดยครอบครัวและโรงเรียนนั้นมีส่วนสำคัญมาก ในการพัฒนาคุณภาพของคน รวมถึงการสร้างความรักความอบอุ่น เพื่อการมีสุขภาวะที่ดีและยั่งยืน” นายโสภณ กล่าว
นายโสภณ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานของตน ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลแผนบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ภายใต้การจัดงานรวมพลัง รักศรัทธา แก้ปัญหาเสพติดแบบบูรณาการ หรือ Quick Big Win ที่ล่าสุดได้ปักธงนำร่องที่ จ.บุรีรัมย์ ก่อนจะขยายไปในภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดต่อไป พร้อมกันนั้นตนก็กำลังจะสนับสนุนให้มีการจัดทำ ‘ธรรมนูญสุขภาพเพื่อขจัดปัญหายาเสพติดในจังหวัดบุรีรัมย์’ ด้วย
“จากประสบการณ์ทำงานด้านยาเสพติดมา พบว่าการบำบัดผู้เสพเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องบูรณาการกันและต้องเอาใจลงไปทำจริงๆ ซึ่งวันนี้เราต้องหันกลับไปสร้างความอบอุ่นในครอบครัวและสังคม เพราะการแก้ปัญหายาเสพติดต้องทำร่วมกัน ทั้งการป้องกัน สร้างภูมิคุ้มกัน และการบำบัด” นายโสภณ กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนยังมีนโยบายสำคัญที่กำลังให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและทุกจังหวัด ดำเนินการคัดกรองแยกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั่วประเทศ โดยอาศัยกำลังหลักจากผู้ใหญ่บ้านและประชาชนเป็นผู้ให้ข้อมูล นำผู้ที่เกี่ยวข้องมาตรวจคัดกรองสารเสพติด แล้วจัดกลุ่มประเภทเป็นสีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง เพื่อมาใช้เป็นฐานวางแผนการทำงานในการจัดทำงบประมาณปี 2570 กำหนดเจ้าภาพหลัก รวมถึงจัดสรรทรัพยากร บุคลากร สถานที่ เครื่องมือต่างๆ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป โดยจะมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 11 พ.ย. นี้
สำหรับความคืบหน้าสำคัญของการดำเนินงานปกป้องและคุ้มครองเด็ก เยาวชน จากบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งที่ประชุม คสช. ได้รับทราบนี้ ได้มีการขับเคลื่อนผ่านกลไกต่างๆ อาทิ การขับเคลื่อนผ่านกลไกคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ซึ่งเป็นกลไกสร้างการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐ ภาคสังคม และภาควิชาการที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ให้เข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ภายใต้งบประมาณสนับสนุนจาก สช. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตลอดจนยังมีการดำเนินงานของ สช. และภาคีเครือข่าย เพื่อขับเคลื่อนในเรื่องการปกป้องและคุ้มครองเด็ก เยาวชน จากบุหรี่ไฟฟ้า โดยได้มีการเข้าพบผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อปรึกษาหารือการป้องกันการทุจริตจากการแทรกแซงนโยบายรัฐของอุตสาหกรรมยาสูบ พร้อมกับการประชุมปรึกษาหารือแนวทางการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการ คสช. กล่าวว่า สช. มีความพร้อมในการที่จะสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้การร่วมมือกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ผ่านกลไกสมัชชาสุขภาพจังหวัด ตลอดจนธรรมนูญสุขภาพระดับพื้นที่ เพื่อสร้างความร่วมมือของชุมชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต่อไป โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งยังเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ภาคีเครือข่ายจะมีการนำข้อมูลต่างๆ เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันภายในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ที่จะมีการจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ที่อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
นพ.สุเทพ กล่าวว่า การจัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ในปีนี้ ภาคีเครือข่ายจากทั่วประเทศจะได้เข้ามาร่วมกันพิจารณาและให้ฉันทมติเพื่อรับรองระเบียบวาระใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1. การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย 2. ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ 3. การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 4. ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต 5. กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประเด็นที่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของประชาชนในยุคปัจจุบัน โดยนอกจาก 5 ประเด็นดังกล่าวแล้ว ยังมีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมอีกด้วย
ทั้งนี้ การจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ถือเป็นการครบวาระการดำรงตำแหน่งของ นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 17 และครั้งที่ 18 พ.ศ. 2567-2568 ดังนั้น เพื่อให้การเตรียมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งต่อไป สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีส่วนร่วมของภาคีทุกภาคส่วน ที่ประชุม คสช. จึงได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อดีตอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน คจ.สช. ครั้งที่ 19 พ.ศ. 2569 พร้อมมอบหมายให้ สช. ประสานประธาน คจ.สช. พิจารณาองค์ประกอบของกรรมการจำนวนไม่เกิน 30 คน เพื่อเสนอให้ประธาน คสช. พิจารณาลงนามแต่งตั้งต่อไป


