สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์

สช.สานพลังองค์การอนามัยโลกร่วมขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของสังคม ความเท่าเทียม และธรรมาภิบาลด้านสุขภาพ


27 ต.ค. 68 นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการฯ ดร.ทิพิชา โปษยานนท์ รองเลขาธิการฯ นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ ที่ปรึกษา สช. นางสาวณนุต มธุรพจน์ ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ สช. เข้าร่วมหารือกับ ดร.อายหลัน หลี ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย พร้อมคณะฯ ณ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

การหารือกันในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการตอกย้ำความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของสังคม ความเท่าเทียม และธรรมาภิบาลด้านสุขภาพทั้งในประเทศไทยและในระดับนานาชาติ โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นร่วมกันถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความร่วมมือให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนากลไกในระดับชาติที่เสริมพลังชุมชน และสร้างระบบสุขภาพที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

นพ.สุเทพ กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ ดร.อายหลัน ได้มาเยี่ยมสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพในครั้งนี้ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินงานและแผนร่วมมือในอนาคต และในโอกาสนี้ขอเรียนเชิญเข้าร่วมงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ในระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2568 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี

ทางด้าน ดร.อายหลัน ได้กล่าวชื่นชมกลไกธรรมาภิบาลแบบมีส่วนร่วมของ สช. เช่น สมัชชาสุขภาพแห่งชาติธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ และการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) ว่าเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะ ทั้งนี้แนวทางของ สช. ยังสอดคล้องและสนับสนุนการดำเนินงานตามกรอบแผนงานทั่วไป ฉบับที่ 14 ขององค์การอนามัยโลก (WHO GPW14) ซึ่งมุ่งส่งเสริม คุ้มครอง และสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับประชาชนทุกคน ในทุกพื้นที่

แลกเปลี่ยนประเด็นยุทธศาสตร์และแนวทางความร่วมมือในอนาคต

ทั้ง สช. และองค์การอนามัยโลก ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและหารือถึงประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญ รวมถึงช่องทางความร่วมมือในอนาคต ดังนี้

1. การมีส่วนร่วมของสังคมและธรรมาภิบาล (Social Participation and Governance) : องค์การอนามัยโลกยกย่อง “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” ของไทยเป็นต้นแบบของกระบวนการกำหนดนโยบายแบบมีส่วนร่วมทั้งนี้ สช. มีเป้าหมายที่จะพัฒนา “ศูนย์การเรียนรู้ระดับโลกด้านการมีส่วนร่วมของสังคม” ที่รวมถึงแพลตฟอร์มขององค์การอนามัยโลก เช่น ศูนย์ความร่วมมือของ WHO (WHO Collaborating Center) เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ของไทยด้านกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม และการเสริมพลังชุมชนรวมถึงเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับประเทศสมาชิกอื่นๆ

2. ความเป็นธรรมด้านสุขภาพและปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Health Equity and Social Determinants of Health) : สช. อยู่ระหว่างการพัฒนาตัวชี้วัดระดับชาติด้านความเป็นธรรมทางสุขภาพ และมีแผนปรับใช้กรอบการดำเนินงาน ด้านปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ(WHO Operational Framework on Social Determinants of Health) ขององค์การอนามัยโลกให้เหมาะสมกับบริบทไทย โดยองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญกับ “ความเป็นธรรมทางสุขภาพ” เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างประชากรที่มีสุขภาวะดี และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบในการเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติกับความพยายามระดับโลกเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

3. การสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุและเศรษฐกิจสีเงิน (Healthy Ageing and the Silver Economy)

ทั้งสององค์กรมีพันธกิจร่วมในการสนับสนุน “ปฏิญญาโคลัมโบว่าด้วยการสร้างสุขภาวะผู้สูงอายุ” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEARO) ผ่านการเสริมสร้างระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ภายใต้กรอบ “ทศวรรษแห่งการสูงอายุอย่างมีสุขภาวะของสหประชาชาติ (พ.ศ. 2564–2573)” รวมถึงส่งเสริม “เศรษฐกิจผู้สูงวัย (silver economy)” เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางสังคมและเศรษฐกิจ

4. สุขภาพในโรงเรียนและการเสริมพลังเยาวชน (School Health and Youth Empowerment)

ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา ของ สช. ถือเป็นต้นแบบของการบูรณาการการสร้างเสริมสุขภาพเข้ากับการศึกษา เพื่อพัฒนาเยาวชนให้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพและความรับผิดชอบต่อสังคม แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับมติของประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออก ในการดำเนินมาตรฐานสากลด้าน “โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ” และการศึกษาสุขภาพแบบครอบคลุมสำหรับพ่อแม่ ครู และชุมชน (WHO SEAR Member state Resolution)

5. การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพและธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (Health Impact Assessment and Environmental Governance)

ผ่านเวทีการประชุมประจำปี HIA Forum และเครือข่าย HIA Consortium ทั้งสององค์กรมีเป้าหมายร่วมกันในการเชื่อมโยงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายสาธารณะ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คุณภาพอากาศ และมลพิษทางน้ำ

6. การกระจายอำนาจและระบบสุขภาพท้องถิ่น (Decentralization and Local Health Systems)

คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.)  และโครงการสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง (Area Strengthening Alliance: ASA) หรือภาคีอาสา ของ สช. สอดคล้องกับแนวทางของ WHO ที่เน้นการเสริมพลังประชาชน ความเท่าเทียม และการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ ภายใต้กรอบ GPW14 (พ.ศ. 2568–2571)

 

มุ่งสู่การขยายบทบาทในระดับนานาชาติ

เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ สช. ในปี พ.ศ. 2570 นั้น สช.มีเป้าหมายที่จะขยายบทบาทในเวทีนานาชาติ ผ่านการวิจัย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความร่วมมือทางวิชาการกับ WHO เพื่อเสริมสร้างบทบาทนำของประเทศไทยในการขับเคลื่อน “ความเป็นธรรมด้านสุขภาพ การมีส่วนร่วมของสังคม และสุขภาพดีถ้วนหน้า”

NHCO Q&A