‘ภาคีอาสา’ สร้างรากฐาน จว.เข้มแข็ง เร่งจัดตั้ง ‘องค์กรภาคประชาสังคม’ ที่มีกฎหมายรองรับ


VIEW: 61   SHARE: 0     17-10-2025
เผยแพร่โดย: 
by
 กลุ่มงานสื่อสารสังคม

 

ภาคีอาสา ลุยสร้างจังหวัดเข้มแข็ง ผลักดันจัดตั้งองค์กรภาคประชาสังคมที่มีกฎหมายรองรับ หวังเป็นกลไกแสดงเจตจำนงของประชาชน ผุด ศูนย์กฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสาธารณะ ช่วยแก้ Pain Point หน่วยราชการระดับพื้นที่ไม่แม่นกฎหมาย-ไม่กล้าดำเนินการ ภาค ปชช.จึงไม่ได้รับความร่วมมือ พร้อมเปิดแผนขับเคลื่อนภารกิจภาคีอาสา 5 จังหวัดนำร่อง ในปี 2569

องค์กรภาคียุทธศาสตร์ 9 หน่วยงาน ที่รวมตัวกันในนาม ภาคีอาสา ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดเวทีสัมมนาเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของหน่วยงานภาคีอาสา เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนจังหวัดเข้มแข็งโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน ระหว่างวันที่ 15-16 ต.ค. 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

 

ศ. ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคมในการพัฒนาประชาธิปไตยจากฐานราก ภายใต้ภารกิจภาคีอาสา จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือการพัฒนาตัวตนและสร้างระเบียบรองรับ และการพัฒนากฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนการพัฒนาของภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ฉะนั้นเป้าหมายสำคัญของภารกิจภาคีอาสาในระยะแรกก็คือ การจัดตั้งเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่ให้เป็นไข่แดง ก่อนจะขยายวงภาคีออกไปยังพื้นที่ไข่ขาว

ทั้งนี้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ทั่วประเทศมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ราว 8,000 แห่ง แต่เรากลับไม่เห็นพลังของ อปท. สักเท่าใด เพราะ อปท. ไม่มีองค์กรกลไกที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในทางกฎหมาย ทำให้ภาคประชาสังคมที่มีอยู่เต็มผืนแผ่นดินไม่สามารถแสดงเจตจำนงในนามท้องถิ่นได้ ทั้งที่มีงบประมาณหลายแสนล้านแต่ก็ไม่มีเจตจำนงของตัวเอง ดังนั้นภาคีอาสาจึงเป็นบันไดขั้นสำคัญที่ภาคประชาสังคมจะสร้างตัวตน และสร้างองค์กรที่มีกฎหมายรองรับเพื่อให้แสดงเจตจำนงของตนเองได้

 

ด้าน นายไพสิฐ พาณิชย์กุล เครือข่ายศูนย์กฎหมายและนโยบายสุขภาวะ ในฐานะเครือข่ายภาคีอาสา กล่าวถึงการจัดตั้ง ศูนย์กฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสาธารณะ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกที่จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานของภาคประชาชน โดยระบุว่า อุปสรรคต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชนระดับท้องถิ่นคือการที่ภาคประชาชนขาดความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัดของตัวเอง เพราะหน่วยงานรัฐในพื้นที่มีความกังวลหรือมีข้อจำกัดเรื่องข้อกฎหมาย เกรงกลัวว่าจะกระทำผิดและถูกตรวจสอบ จึงไม่กล้าดำเนินการใดๆ

สำหรับ ศูนย์กฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสาธารณะ เป็นการรวมตัวกันของเครือข่ายนักกฎหมายในพื้นที่ ปัจจุบันระยะเริ่มต้นจัดตั้งขึ้นในสถาบันการศึกษา 7 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยทักษิณ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่กลไกภาคประชาชนและหน่วยงานรัฐในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกัน

นายไพสิฐ กล่าวว่า ศูนย์กฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสาธารณะที่จะทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายนั้น จะมีทีมวิชาการวิจัยปฏิบัติการ หรือ Core team เป็นพี่เลี้ยง ซึ่งทีมนักวิชาการเหล่านั้นก็จะเชื่อมโยงกับ Think Tank ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกระจายอำนาจ เช่น ศ. วุฒิสาร ตันไชย และอาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ซึ่งทั้งหมดนี้คือโครงสร้างเครือข่ายนักกฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสุขภาวะ ที่จะเข้ามาสนับสนุนงานของภาคีอาสา 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย นครสวรรค์ ขอนแก่น ตราด และพัทลุง

นอกจากนี้ ภายในงานสัมมนาฯ ยังมีการจัดกระบวนการกลุ่มย่อย 5 จังหวัดนำร่อง เพื่อแลกเปลี่ยนการออกแบบและนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนงานภาคีอาสาร่วมกันในปี 2569

 

ภาคีอาสา จ.เชียงราย จะมีการพัฒนาข้อเสนอสร้างรูปธรรมในพื้นที่ระดับตำบล โดยชูธงประเด็นสารพิษลุ่มแม่น้ำกกเป็นประเด็นหลักในการขับเคลื่อน ขณะที่มิติทางเศรษฐกิจจะผลักดันการพัฒนาเรื่องชา กาแฟ โดยมุ่งเน้นพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง ต.แม่สลองนอก และ ต.แม่สลองใน และเมื่อมีข้อเสนอระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ก็จะจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัดเพื่อจัดทำเป็นธรรมนูญสุขภาพต่อไป นอกจากนี้ยังมีระบบการจัดการองค์ความรู้และการสื่อสารสาธารณะโดยมีทีมจากสถาบันการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ หน่วยงาน สวรส. เป็นพี่เลี้ยงให้การสนับสนุน

 

ภาคีอาสา จ.ขอนแก่น จะขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงประเด็นร่วม 2 ประเด็น ได้แก่ เรื่องสังคมสูงวัย และการจัดการน้ำท่วม และยังมีประเด็นย่อยอื่นๆ อีก 10 ประเด็น อาทิ ความเหลื่อมล้ำ การสร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง การท่องเที่ยว จังหวัดจัดการตนเอง ฯลฯ ที่จะขับเคลื่อนร่วมกับองคาพยพภาคประชาสังคมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในแต่ละประเด็นจะมีการจัดเวทีประจำทุกเดือนเพื่อแลกเปลี่ยนและนำเสนอความคืบหน้า โดยในเดือน ต.. จะมีการจัดเวทีครั้งแรกในประเด็นจังหวัดจัดการตนเอง

 

ภาคีอาสา จ.นครสวรรค์ กำลังอยู่ในช่วงการก่อร่างสร้างรูปแผนการพัฒนาที่จะขับเคลื่อนประเด็นหลัก 2 เรื่อง ได้แก่ คุณภาพชีวิต และการจัดการทรัพยากรชุมชน นอกจากนี้คือการผลักดันให้เกิดสภาพลเมืองที่จะต้องมีโครงสร้างการทำงานอย่างเป็นทางการมากขึ้น รวมไปถึงจะมีการผลักดันให้เกิดการถอดบทเรียนผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจว่าภาคประชาสังคมใน จ.นครสวรรค์ กำลังขับเคลื่อนการทำงานประเด็นอะไรกันอยู่

ภาคีอาสา จ.ตราด จะเริ่มต้นประชุมคณะทำงานภาคประชาสังคม เพื่อออกแบบเป้าหมายและวิธีการทำงานร่วมกัน ซึ่ง จ.ตราด มีกลไกภาคประชาสังคมที่ชัดเจน และได้ร่วมกันประกาศการเป็นจังหวัดจัดการตนเองไปเมื่อปีที่แล้ว จึงจะถือโอกาสในช่วงครบรอบหนึ่งปีในการพูดคุยกันว่า ที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนอะไรไปอย่างไรบ้าง และยังขาดมิติใดที่ภาคีอาสาจะสามารถเข้าไปหนุนเสริมได้

 

ภาคีอาสา จ.พัทลุง จะมีการจัดเวทีสภาเมืองลุงในวันที่ 17 .. โดยจะใช้ประเด็นที่ได้รับจากเวทีภาคีอาสาในวันนี้เข้าไปนำเสนอด้วย เป้าหมายการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ใน จ.พัทลุง จะมุ่งเน้นประเด็น เขา ป่า นา เล ผ่านการเชื่อมโยงร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม และจะมีการจัดเวทีพูดคุยเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ต้นแบบที่จะนำไปสู่การเป็น พัทลุงมหานครแห่งความสุขอีกทั้งจะมีการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ในแต่ละโซนเป็นรายเดือนต่อไป

 

 

 

NHCO Q&A