ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าฯ หารือความคืบหน้าการดำเนินงานป้องกัน-ปราบปราม “บุหรี่ไฟฟ้า” หลัง ครม. มีมติเห็นชอบ 5 มาตรการตามมติสมัชชาสุขภาพฯ ชี้เห็นผลชัด หาซื้อตามร้านค้าได้ยากขึ้น แต่พบการจำหน่ายย้ายสู่ช่องทางออนไลน์ เล็งขอความร่วมมือแพลตฟอร์มดัง TikTok-Facebook-YouTube ฯลฯ ใช้เอไอจัดการเนื้อหา พร้อมถกแนวทางรางวัลนำจับเพิ่มแรงจูงใจในการให้เบาะแส รวมทั้งหาวิธีทำลายของกลางที่เป็นภาระการจัดเก็บ-ดูแล ด้าน คกก. เตรียมเข้าพบนายกฯ อนุทิน หารือความมุ่งมั่นสานต่อการทำงานของรัฐบาล
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดประชุมคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งมี ศ. พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2568 โดยที่ประชุมได้มีการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมกับได้มีการพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการขับเคลื่อนงาน ทั้งในด้านการป้องกันการแทรกแซงนโยบายรัฐของอุตสาหกรรมยาสูบ การควบคุมสื่อออนไลน์ รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า
ศ. พญ.สุวรรณา เปิดเผยว่า หนึ่งในความก้าวหน้าสำคัญของการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า คือหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 มีมติรับทราบ มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นการปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งเห็นชอบ 5 มาตรการสำคัญ อันได้แก่ 1. พัฒนาและจัดการองค์ความรู้ 2. สร้างการรับรู้แก่เด็ก เยาวชน และสาธารณชน 3. เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมาย 4. พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย 5. ยืนยันนโยบายห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า และมาตรการป้องกันและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ก็ได้มีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง มีการสั่งการ ปราบปราม และจับกุมได้มากขึ้น การหาซื้อตามแหล่งจำหน่ายร้านค้าจึงยากมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ค้าได้เปลี่ยนรูปแบบการทำตลาดไปสู่การจำหน่ายผ่านทางช่องทางออนไลน์แทน จากนี้จึงจำเป็นจะต้องหาแนวทางในการควบคุมต่อไป โดยเบื้องต้นจากการประชุมหารือของภาคีที่เกี่ยวข้อง ได้เสนอว่าจะต้องมีการประสานกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Facebook, YouTube, Lazada, Shopee ฯลฯ ที่ควรเชิญเข้ามาหารือ และขอความร่วมมือโดยตรงในการใช้ AI ตรวจจับและจัดการเนื้อหาบุหรี่ไฟฟ้า
“นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ในอดีตที่ดำรงตำแหน่งเป็น รมว.มหาดไทย และ รมว.สาธารณสุข ได้ประกาศจุดยืนชัดว่าจะไม่อนุญาตให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย และที่ผ่านมาท่านก็ให้ความสำคัญกับมติสมัชชาสุขภาพฯ มาโดยตลอด ดังนั้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ทางภาคีเครือข่ายก็จะเข้าไปพบท่าน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ 5 มาตรการ เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด” ศ. พญ.สุวรรณา กล่าว
ประธานคณะกรรมการพัฒนานโยบายฯ กล่าวต่อไปว่า อีกหนึ่งประเด็นซึ่งที่ประชุมได้มีการพูดคุยร่วมกัน คือแนวทางของสินบนนำจับ หรือเงินรางวัลสำหรับการแจ้งเบาะแส เพื่อนำไปสู่การจับกุมและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ที่น่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเป็นแรงจูงใจให้ทุกฝ่ายร่วมกันสอดส่องและเฝ้าระวังกันได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่ต้องมีการศึกษาในแง่ของกฎหมายหรืออะไรต่างๆ ให้มีความชัดเจน โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมกลุ่มย่อยร่วมกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการจับกุม เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมศุลกากร รวมไปถึง กองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ (กคส.) ฯลฯ เพื่อหารือถึงแนวทางร่วมกันต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยถึงประเด็นการทำลายของกลาง เนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนบุหรี่ไฟฟ้าที่ถูกจับกุมและตรวจยึดไปเป็นจำนวนมาก หากแต่ยังไม่มีวิธีในการทำลาย จึงกลายเป็นภาระในการจัดเก็บ การดูแล แล้วยังมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ปล้นหรือลักลอบขโมยของกลาง แล้วนำบุหรี่ไฟฟ้าเหล่านี้เวียนกลับไปขายอีกครั้ง จึงต้องมีการทำลายเพื่อตัดวงจรดังกล่าว รวมถึงให้มีการประชาสัมพันธ์ออกข่าวเพื่อสร้างการรับรู้ด้วย โดยประเด็นนี้จะมีการนำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาถึงแนวทางในเรื่องนี้อีกครั้ง
ขณะที่ ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร กรรมการและเลขานุการกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะฯ กล่าวว่า อีกหนึ่งมาตรการสำคัญตามมติสมัชชาสุขภาพฯ ประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า คือการป้องกันการทุจริตจากการแทรกแซงนโยบายรัฐของอุตสาหกรรมยาสูบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตามมาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ซึ่งล่าสุดทางคณะกรรมการฯ และ สช. ได้มีการขอเข้าพบเพื่อหารือร่วมกับ 3 หน่วยงาน ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เพื่อร่วมกันหาแนวทางป้องกันเรื่องนี้ต่อไป
ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้านับว่ามีการร่วมกันขับเคลื่อนและเห็นผลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ภายหลังจากที่มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ซึ่งทำให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมดำเนินการในด้านนี้เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่าในระดับท้องถิ่นยังมีการสะท้อนถึงปัญหาการแพร่ระบาดจำนวนมาก ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องสำรวจดูว่ายังมีช่องใดได้อีกบ้าง อย่างเรื่องของรางวัลนำจับต่างๆ หากสามารถช่วยสร้างแรงจูงใจได้ ก็จะต้องมีการศึกษาต่อไปว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทั้งนี้ ภายในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ซึ่งจะมีการจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ยังได้เตรียมที่จะมีการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้กับภาคีเครือข่ายผู้ที่มีส่วนในการทำงานขับเคลื่อนประเด็นด้านบุหรี่ไฟฟ้า ใน 3 ประเภท ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาควิชาการ ภาคประชาสังคมและเอกชน