วันแม่

กระบวนการ ‘HIA’ ภายใต้กฎหมายใหม่ ภาคปชช.มุ่งดัน ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ’ หวังใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาถึงรากฐาน


VIEW: 120   SHARE: 0     15-08-2025
เผยแพร่โดย: 
by
 กลุ่มงานสื่อสารสังคม

 

เวที “HIA Forum 2025” จัดเสวนาอัปเดตสถานการณ์ฝุ่นควันพิษ PM2.5 พร้อมความคืบหน้าการผลักดัน “ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ” ชี้กฎหมายฉบับภาคประชาชนมุ่งใช้นวัตกรรมแก้ไขปัญหาถึงฐานราก แตกต่างจากฉบับอื่นที่อาจไม่กล้าออกจากกรอบ พร้อมเชื่อมโยงเครื่องมือการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ “HIA” ให้สิทธิประชาชนมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาอย่างมีความหมาย

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “การแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืน: มาตรการด้านกฎหมายและการปกป้องสุขภาพระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และ พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ภายในเวทีการประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ พ.ศ. 2568 (HIA FORUM 2025) เพื่อเป็นการอัปเดตสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 รวมทั้งความคืบหน้าในการขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ไปจนถึงความสอดรับกับเครื่องมือการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550

 

รศ. ดร.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนายกสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... คนที่หนึ่ง เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันทำงานของกลุ่มจิตอาสา สื่อ ภาคประชาสังคม รวมทั้งนักวิชาการหลากสาขา ที่รู้สึกไม่ยอมทนกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังและภาครัฐจัดการได้อย่างไม่ทันท่วงที จึงเดินหน้าทำงานด้านวิชาการ โดยยกร่างกฎหมายฉบับประชาชน พร้อมสร้างความตื่นรู้ด้านสิทธิ และขับเคลื่อนทางสังคม เพื่อเสนอทางออก โดยมุ่งเน้นการยกระดับจากการจัดการมลพิษทางอากาศ (Air Pollution) ไปสู่การจัดการอากาศสะอาด (Clean Air)

รศ. ดร.คนึงนิจ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่พยายามสะท้อนคือปัญหามลพิษทางอากาศนั้น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีเรื่องอีกมากมายอยู่ภายใต้ก้อนภูเขาน้ำแข็ง แต่ที่ผ่านมาภาครัฐมักแก้ไขในเชิงสถานการณ์ แต่ไม่ได้แก้ไปถึงฐานราก ซึ่งกฎหมายฉบับภาคประชาชนนี้เป็นการนำเอาความรู้มาขับเคลื่อนสังคม โดยออกแบบนวัตกรรมการจัดการไว้มากมาย ทั้งประเด็นของ HIA การมีดัชนีอากาศเพื่อสุขภาพ (AQHI) การกำหนดศักยภาพการรองรับของพื้นที่ (Carrying capacity) ระบบพลเมืองเฝ้าระวังและแจ้งเตือน (Citizen monitoring) การแบ่งพื้นที่เขตเฝ้าระวังมลพิษ เขตประสบมลพิษทางอากาศ รวมถึงการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด เพื่อทำให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายได้อย่างแท้จริง เป็นต้น

“เราเดินทางมาไกลตั้งแต่ปี 2563 แต่เมื่อยื่นเสนอไปทางสภาฯ ชี้ว่าเป็นกฎหมายการเงิน จึงต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน ปรากฏว่ากฎหมายถูกดองอยู่นานมาก มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ยุบสภา แต่สุดท้ายเมื่อเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่เข้ามา ก็ต้องขอบคุณที่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยปัจจุบันรวมอยู่ในการพิจารณาเป็น 1 ใน 7 ฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับก็มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะฉบับของเราที่มีนวัตกรรมเยอะ เพราะต้องไปแก้ในหลาย Pain Point แต่หลายคนที่ยังไม่กล้าออกจาก Comfort Zone ก็อาจไม่ชอบ อยากใช้กฎหมายเดิมๆ มากกว่า” รศ. ดร.คนึงนิจ กล่าว

 

นายไพสิฐ พาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า หาก ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ผ่านออกเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ได้ จะทำให้เกิดผลอย่างสำคัญต่อกระบวนการ HIA ได้แก่ 1. การทำให้เกิดระบบนิเวศใหม่ (Ecosystem) ที่เหมาะและเอื้อต่อการสนับสนุนกระบวนการ HIA ผ่านการสถาปนาสิทธิในอากาศสะอาด พร้อมกำหนดหน้าที่ของรัฐและประชาชนในการปกป้อง คุ้มครอง และป้องกันอากาศที่มีคุณภาพดี และให้หน่วยงานรัฐต้องแก้ปัญหามลพิษที่แหล่งกำเนิดด้วย

นายไพสิฐ กล่าวว่า ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังจะมีการทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบจัดการมลพิษทางอากาศใหม่ รวมถึงจะมีการสร้างเครื่องมือที่จะเข้าไปรับรองการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของภาคประชาชนอย่างมีความหมาย ไม่ใช่ให้เกิดเป็นพิธีการเหมือนที่ผ่านมา และสุดท้ายซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก และเป็นหัวใจของกฎหมายฉบับนี้ด้วยก็คือ การทำให้เกิดระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ

2. ร่างกฎหมายฉบับนี้ นอกจากจะมีการนำกระบวนการ HIA เข้าไปสู่กระบวนการในการแก้ไขมลพิษทางอากาศ ยังมีการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการในการจัดการมลพิษทางอากาศตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่น ตลอดจนกำหนดให้มีระบบเฝ้าระวัง ติดตาม และแจ้งเตือน รับเรื่องร้องเรียน พร้อมกับประกาศเขตเฝ้าระวัง/เขตมลพิษ นายไพสิฐ กล่าว

“ที่สำคัญอีกส่วนยังมีการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการในการจัดการมลพิษทางอากาศตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่น ตลอดจนกำหนดให้มีระบบเฝ้าระวัง ติดตาม และแจ้งเตือน รับเรื่องร้องเรียน พร้อมกับประกาศเขตเฝ้าระวัง/เขตมลพิษ และสุดท้ายคือการให้สิทธิทางศาลสำหรับผู้ก่อมลพิษด้วย เหล่านี้คือหลักการของกระบวนการ HIA ที่ไปเชื่อมโยงกับร่างกฎหมายฉบับใหม่นายไพสิฐ กล่าว

 

 

น.ส.กาญจนา สวยสม ผู้อำนวยการส่วนคุณภาพอากาศ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า บทบาทหลักของ คพ. คือ การเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ เช่น คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ ฯลฯ รวมถึงการจัดทำมาตรการและแผนเพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ อย่างล่าสุด คือ แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 – 2570 ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568

ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการควบคุมที่สำคัญ ทาง คพ. จะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมที่แหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อป้องกัน มากกว่าแก้ไขที่ปลายเหตุ ดังนั้นในแต่ละช่วงปีจะมีมาตรการเฉพาะให้เหมาะสมกับปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ทว่าก็ยังทำได้ค่อนข้างยาก เพราะรัฐไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง โดยต้องมีการขับเคลื่อนร่วมกันทั้งองคาพยพ ผ่านการประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ กระทรวงต่างๆ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ

“คพ. ยังเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ผ่านการยกร่าง พ.ร.บ. ฉบับของภาครัฐ ที่เป็นการผสมผสานทุกร่างเอามารวมกัน ซึ่งก็เสนอเข้า ครม. ไปแล้ว โดยถ้าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านออกมา คพ. จะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยอีกสักระยะอาจไม่มีชื่อกรมควบคุมมลพิษ แต่จะมีชื่อใหม่เกิดขึ้นคือ สำนักงานบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” ผอ.ส่วนคุณภาพอากาศ คพ. กล่าว

น.ส.กาญจนา กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ล่าสุดในปี 2568 นี้ ช่วงที่เกิดวิกฤต PM2.5 ซึ่งประเทศไทยมักเจอในช่วงปลายปีจนถึงต้นปี จากผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ 74 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่าไทยมีฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยทั้งประเทศคือ 28 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งแม้จะดูเหมือนค่าเฉลี่ยจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าไปดูลึกๆ ค่าเฉลี่ยรายวันยังมีวันที่เกินมาตรฐานอยู่ อย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีจำนวนวันที่เกินมาตรฐาน 183 วัน ส่วนภาคเหนือ 163 วัน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากหลายส่วน ทั้งคมนาคม ไฟป่า พื้นที่เผาไหม้

 

ด้าน นายสนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กล่าวว่า ฝุ่นควันพิษนั้นมีหลายประเภท ตั้งแต่ขนาด PM10 ซึ่งเป็นฝุ่นควันจากการก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ จะเข้าไปได้ถึงบริเวณขั้วปอด ส่วนขนาด PM2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นควันจากการเผาไหม้ จะเริ่มมีขนาดเล็กจนทะลุเข้าไปในถุงลมปอด แต่หากเล็กลงไปถึง PM0.1 จะสามารถทะลุทะลวงเข้าเส้นเลือดได้ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็ง ซึ่งฝุ่นเล็กขนาดนี้พบว่าส่วนใหญ่มีที่มาจากไอเสียรถยนต์เครื่องดีเซล

นายสนธิ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศตั้งแต่ปี 2555 ว่าไอเสียจากรถยนต์ดีเซลเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ที่ทำให้มนุษย์เป็นมะเร็ง ซึ่งสารในไอเสีย เช่น เขม่า ละอองฝุ่น ละอองโลหะ ฯลฯ เมื่อออกมาสู่อากาศที่เย็นกว่าจะรวมตัวเป็นละอองควันสีดำ โดยในองค์ประกอบของควันดำที่ปล่อยออกมาจากไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซลเกือบทั้งหมดหรือ 92% คือฝุ่นขนาด PM0.1 หรือที่เรียกว่า Ultrafine particles ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีการตรวจวัดเป็นการเฉพาะ ยังวัดได้เพียงฝุ่นขนาด PM2.5 เท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนต้องตระหนักทุกครั้งเมื่อเดินริมถนนล้อมรอบด้วยตึกสูง การจราจรติดขัด แล้วสูดดมควันจากรถยนต์เข้าไป กำลังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

NHCO Q&A