สช. – HITAP ผนึกกำลัง UNESCO หารือมุมมองทาง “จริยธรรม” และ “ธรรมาภิบาล” ของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ “AI” ในระบบสุขภาพ-การแพทย์ หวังวางโครงสร้างการกำกับ-ใช้งาน AI เพื่อดันประเทศไทยสู่ผู้นำภูมิภาค เตรียมพูดคุยประเด็นต่อเนื่องในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และมูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) เป็นองค์กรร่วมจัดการประชุมคู่ขนาน (Side Event) หัวข้อ “Ethics and Governance of Artificial Intelligence for Health” เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2568 ภายในเวทีการประชุมด้านจริยธรรมในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Global Forum on the Ethics of AI: GFEAI) ครั้งที่ 3 ขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล ในการกำกับดูแลและการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านสุขภาพ
ทั้งนี้ เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์และสังคม ในแทบทุกด้าน ทั้งยังมาพร้อมกับความเสี่ยงใหม่หลายแง่มุม เช่น การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง เป็นต้น นอกจากนี้การพัฒนา AI ส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นในด้านเทคโนโลยีและธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งอาจขาดการพิจารณาถึงผลกระทบเชิงจริยธรรมและสังคมอย่างรอบด้าน เกิดเป็นคำถามสำคัญต่อการกำกับดูแล AI เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้า กับความรับผิดชอบต่อสังคม
นาย Mark Landry จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เราทุกคนทราบดีถึงประโยชน์ที่ AI สามารถนำมาใช้กับงานด้านสุขภาพและสาธารณสุข ซึ่งทาง WHO ได้มีการวาง 6 เสาหลักด้านจริยธรรมของการใช้เทคโนโลยี AI ทางสุขภาพ เช่น ปกป้องความเป็นอิสระ ส่งเสริมผลประโยชน์สาธารณะ ความโปร่งใส ความเท่าเทียม เป็นต้น ซึ่ง การเติบโตของการใช้ AI อย่างก้าวกระโดด ทำให้ในช่วง 12–18 เดือนที่ผ่านมา ทั่วโลกต่างมีการให้ความสำคัญกับประเด็นของจริยธรรมกับการใช้ AI มากขึ้น โดยหลายหน่วยงาน เช่น องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ธนาคารโลก (World Bank) ก็ได้ออกแนวทางหรือหลักการเรื่องนี้เอาไว้
นาย Mark กล่าวว่า ขณะเดียวกันก็มีบทเรียนของหลายประเทศที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้ เช่น สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ บราซิล แคนาดา ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ฯลฯ ซึ่งประเทศไทยเองนับว่ามีศักยภาพที่สามารถเรียนรู้และนำหลักการจากที่อื่นๆ มาสู่การปฏิบัติ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำของการดำเนินจริยธรรมบนการใช้ AI ได้ โดยอยากให้ตระหนักว่าการใช้ AI ในด้านสุขภาพ ต้องอยู่บนรากฐานทางจริยธรรม ซึ่ง AI คงไม่สามารถก้าวเข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะเข้ามาเสริมศักยภาพ เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานและการให้บริการ บนความท้าทายที่ยังมีประเด็นให้ต้องพิจารณาอีกมาก ไม่ว่าในแง่ความปลอดภัยของข้อมูล การรักษาความเป็นส่วนตัว ความเท่าเทียม คุณภาพมาตรฐาน การมีปฏิสัมพันธ์และความเห็นอกเห็นใจต่างๆ ฯลฯ
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กล่าวว่า ความจริงแล้วประเทศไทยมีแผนยุทธศาสตร์ด้าน AI ในระดับชาติตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีก่อน โดยต่อมาก็ได้เกิดไกด์ไลน์ด้านจริยธรรมการใช้ AI ที่มี 6 หลักการสำคัญ พร้อมทั้งมีการตั้งศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance Center: AIGC) ภายใต้ ETDA เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ในสมัยที่ยังไม่มี ChatGPT และ AI ก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก ก่อนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ที่ AI ล้วนเกี่ยวข้องกับทุกอย่าง
ดร.ศักดิ์ กล่าวว่า อย่างหนึ่งที่สามารถเรียนรู้ได้จากการกำกับดูแลการใช้งาน AI นั่นคือเราไม่สามารถมีแนวทางใดเพียงแบบเดียวแล้วจะสามารถนำไปใช้ได้ในทุกบริบท ซึ่งในแง่จริยธรรมของการนำไปใช้นั้น มองว่าขึ้นกับบริบทและวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ดังนั้นนกรอบการทำงานจึงควรหาจุดสมดุลระหว่างการนำโอกาสจาก AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด กับการรักษาจริยธรรม ความรับผิดชอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แต่คงไม่สามารถไปบอกได้ว่าสมดุลอยู่ตรงไหน หากแต่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องหาจุดสมดุลในบริบทการใช้งานของตนเอง และทำอย่างให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน
นพ.อดิชาญ เชื้อจินดา รองผู้อำนวยการสำนักสุขภาพดิจิทัล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) กล่าวว่า เดิมประเทศไทยมีการนำ AI เช่น ระบบจดจำใบหน้า แชตบอต ฯลฯ มาใช้ในระบบสุขภาพ และเริ่มขยายการใช้รวดเร็วมากขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เมื่อถูกนำมาใช้ในการคัดกรองโรค เช่น Retina AI, Mammogram AI, CT scan AI และ Generative AI ในปัจจุบัน โดยทางกระทรวงฯ มีโครงการด้าน AI รวม 26 โครงการ แบ่งเป็น พัฒนาไปแล้ว 6 โครงการ อยู่ระหว่างการพัฒนา 11 โครงการ และอยู่ในแผนที่จะพัฒนาอีก 9 โครงการ
นพ.อดิชาญ กล่าวว่า การดำเนินโครงการ AI ของทางกระทรวงฯ ได้ยึดหลักจริยธรรมตามหลักการสากล รวมถึงไกด์ไลน์หรือแนวปฏิบัติของประเทศไทยเองที่มีทั้งจาก สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนยุทธศาสตร์ต่อไปของ สธ. อยากส่งเสริมการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ AI ให้เพิ่มขึ้น รวมไปถึงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบข้อมูลสุขภาพที่ยั่งยืน รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมในทุกระดับ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ตลอดจนในระดับบุคคล เพราะต่อไปการใช้งาน AI อาจเป็นในลักษณะปัจเจกมากขึ้น
ขณะที่ ศาสตราจารย์ Mengling ‘Mornin’ Feng จากมหาวิทยาลัยนานาชาติสิงคโปร์ (NUS) กล่าวว่า บทเรียนตัวอย่างจากการใช้งานจริงของสิงคโปร์ คือการนำเอาระบบ AI เข้ามาใช้กับการตรวจแมมโมแกรมเพื่อคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นโรคที่มีความสำคัญและคร่าชีวิตผู้หญิงไปเป็นจำนวนมาก เพราะกว่าที่จะตรวจพบมักเป็นในระยะท้ายแล้ว โดยระบบได้เริ่มต้นพัฒนาจากเงินทุน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2560 ก่อนที่จะช่วยให้มีผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเพิ่มขึ้นและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันระบบได้รับการรับรองแล้วจาก 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ศาสตราจารย์ Mornin กล่าวว่า AI สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาทางด้านสุขภาพที่เราเผชิญกันมานาน แต่การดำเนินงานก็ต้องอยู่บนพื้นฐานทางจริยธรรม ซึ่งอยากให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การมองไปที่ AI เพียงอย่างเดียว หากแต่มนุษย์เองที่เป็นผู้ฝึก พัฒนา และใช้งาน AI ดังนั้นแทนที่จะมองโจทย์เรื่องจริยธรรมและธรรมาภิบาลของ AI ในระบบสุขภาพ ควรเปลี่ยนเป็นจริยธรรมการและธรรมาภิบาลของผู้ใช้งาน AI ในระบบสุขภาพ เพื่อที่จะทำให้เกิดการใช้งานอย่างเหมาะสม ซึ่งหวังว่าในระดับภูมิภาคเราน่าจะช่วยกันวางกรอบการทำงาน หรือมีแพลตฟอร์มของแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ที่แต่ละประเทศสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมกับบริบทต่อไป
ด้าน น.ส.ณนุต มธุรพจน์ ผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ สช. กล่าวว่า การหารือในเรื่องของ AI กับระบบสุขภาพ นับว่าประเด็นที่มีการพูดคุยมาต่อเนื่อง นับตั้งแต่งานประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี 2568 (Prince Mahidol Award Conference : PMAC 2025) ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงเดือน ม.ค. 2568 ภายใต้ธีม “Harnessing Technologies in an Age of AI to Build a Healthier World” หรือ การใช้เทคโนโลยีในยุค AI เพื่อสร้างโลกที่สุขภาพดีขึ้น
น.ส.ณนุต กล่าวว่า สำหรับประเด็นด้านจริยธรรมในการกำกับดูแลและการใช้ AI ในระบบสุขภาพ พบว่ามีเรื่องที่ยังเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันความรับผิดชอบร่วมกัน การสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ซึ่งคิดว่าประเด็นการพูดคุยยังไม่จบเพียงเท่านี้ แต่ยังจะต้องมีการหารือแลกเปลี่ยนที่มากขึ้น เพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นหัวข้อหนึ่งที่มีการพูดคุยร่วมกันอีกครั้งในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ที่จะมีการจัดขึ้นในวันที่ 27-28 พ.ย. 2568