77 รพ. ในเขตสุขภาพที่ 7 อบรม E-living will "ขยายต้นแบบการดูแลระยะสุดท้าย สร้างระบบการอยู่ดี-ตายดี ในชุมชน"  


VIEW:  32   SHARE:0    
เผยแพร่โดย: 
by
 สำนักขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สช.อ.)

77 รพ. ในเขตสุขภาพที่ 7 อบรม E-living will

"ขยายต้นแบบการดูแลระยะสุดท้าย สร้างระบบการอยู่ดี-ตายดีร่วมกันในชุมชน"  

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับสำนักงานเขตสุขภาพที่ 7 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ประชุมเชิงปฏิบัติการการใช้งานระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาตามสิทธิด้านสุขภาพในมาตรา 12 แห่ง พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e - Living will) ในเขตสุขภาพที่ 7

โดยมีบุคลากรจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และสถานพยาบาลทุกระดับในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์  จำนวน77 แห่ง รวม 150 ท่าน เข้าร่วมแลกเปลี่ยน และใช้ประโยชน์จากข้อมูลระหว่างสถานบริการสาธารณสุขในระดับจังหวัดและประเทศที่ผู้ป่วยเข้ารับบริการ ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงและได้รับการบริการดูแลระยะสุดท้ายของชีวิตตามที่ได้แสดงเจตนาไว้ในหนังสือแสดงเจตนาเพื่อการตายดี หรือ Living will


เริ่มต้นการเปิดเวทีโดยนายแพทย์ภาคี ทรัพย์พิพัฒน์
สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 7 และผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 7 เป็นประธานกล่าวเปิด พร้อมด้วย นายแพทย์วัชรพงษ์ รินทระ รองประธานคณะทำงานพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาชีวาภิบาล เขตสุขภาพที่ 7 กล่าววัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจการใช้งานในระบบสารสนเทศ  (e-Living will) ให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมให้สถานพยาบาลเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย และสามารถนำระบบไปใช้ เพื่อสื่อสาร เผยแพร่ ให้คำแนะนำการจัดทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ในระบบ e-living will เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ความสำคัญในการพัฒนาระบบสารสนเทศและการจัดทำฐานระเบียนกลางของหนังสือแสดงเจตนาตามสิทธิด้านสุขภาพในมาตรา ๑๒ แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐  พัฒนาขึ้นเพื่อเป็น platform กลาง ให้ประชาชนสามารถจัดทำและเข้าถึงข้อมูลการแสดงเจตนาฯ ได้อย่างรวดเร็ว สะดวก ซึ่งข้อมูลจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลกลางที่มีระบบความปลอดภัย โดยบุคลากรด้านสาธารณสุขของสถานพยาบาลสามารถเรียกดูและค้นหาหนังสือแสดงเจตนาฯที่ประชาชนทำไว้และให้บริการรักษาตามที่ได้แสดงเจตนาไว้ ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงระบบการดูแลแบบประคับประคองอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”


นายแพทย์วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์  รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ  นำเสนอทิศทางการพัฒนาระบบการสร้างสุขภาวะระยะสุดท้ายมีชุมชนเป็นฐาน ซึ่งความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาระบบรองรับสิทธิการตายดีตามมาตรา 12  แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติพ.ศ2550 ซึ่งหัวใจสำคัญของมาตรานี้คือการส่งเสริมคุ้มครองให้เกิดการเข้าถึงสิทธิที่จะรับหรือไม่รับการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งครอบคลุมสิทธิของผู้ป่วย การรับรองสิทธิของบุคคลในการทำหนังสือแสดงเจตนา ไม่ประสงค์รับการบริการสาธารณสุขเพียงยืดการตายในวาระสุดท้ายเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย บทบาทและการเชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของหน่วยงาน วิชาการ องค์กรในพื้นที่ในการพัฒนาต้นแบบการสร้างสุขภาวะในระยะสุดท้ายของชีวิตและการตายดี ที่มีความเชื่อมโยงกับระบบการดูแลแบบประคับประคอง การดูแลการวางแผนล่วงหน้า และหนังสือแสดงเจตนาฯ
         

 


ต่อด้วยเสวนา “สร้างสุขที่ปลายทางผ่านระบบดูแลระยะสุดท้ายของชีวิตโดยชุมชนเป็นฐาน” (community base care) โดยวิทยากรผู้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันระหว่างโรงพยาบาล บ้าน วัด ชุมชน  ส่วนราชการ ส่งผลใก้เกิดการสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงระบบการดูแลแบบประคับประคองอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ มีผลงานที่เป็นรูปธรรมในเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการดูแลแบบประคับประครอง ตลอดจนทำให้เกิดความพร้อมของชุมชนในส่งเสริมความต้องการสุดท้ายของชีวิต (Living Will) ตลอดจนความท้าทาย และทิศทางการทำงานในระยะต่อไป ดำเนินรายการ โดย พว.ทิพวรรณ โสภาวรรณกุล  หัวหน้ากลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลพล จ.ขอนแก่น

พระอาจารย์หมอภูวัต (ภูริวฑฺฒโน) วัดท่าประชุม จ.ขอนแก่น เล่าถึงโจทย์สำคัญของการสร้างกุฏิชีวาภิบาลต้นแบบ “วัดท่าประชุมโมเดล” ที่เริ่มต้นขึ้นในพ.ศ. 2565 ทำให้เกิดการจัดตั้งระบบการดูแลพระภิกษุอาพาธตามหลักพระธรรมวินัยที่ยืดหยุ่น ขยายผล และบูรณาการกับระบบสุขภาพ ทำให้พระและวัดเป็นตัวอย่างของการสร้างรูปแบบการตายดี ที่มีองค์ประกอบ 4 ประการคือ

1. รังสรรค์ต้นแบบ การสร้างต้นแบบหรือโมเดล เพื่อให้คนเข้าใจและเกิดแรงบันดาลใจ 2. อบรมชีวาบริกร เพื่อให้มีคนทำงานมีสมรรถนะ  3.การบ่มเพาะระบบพี่เลี้ยงและเครือข่าย และ 4. การสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม ที่มีการเสริมพลังให้ทุกวัดสามารถดูแลพระสงฆ์อาพาธระยะท้ายแบบประคับประคองตามหลักธรรมวินัย

"กุฏิชีวาภิบาลทำให้พระสงฆ์ไม่ต้องสึกเพื่อให้ญาติดูแลระยะท้ายได้  ท่านได้อยู่จนช่วงสุดท้ายของชีวิตในร่มกาสาวพัตร์ ได้อยู่อย่างสงบ เป็นความงดงามที่เกิดขึ้น  นอกจากนั้น การเรียนรู้ของชุมชนโดยรอบ อยากให้พระเป็นตัวอย่างเรื่องการตายดี เกิดรูปแบบ “ชุมชนกรุณา” ที่คนในชุมชนช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยไม่หวังสิ่ง ตอบแทน  เพราะในความจริงพระกับโยมไม่ต่างกัน เรามีความตายเป็นหมุดหมายสุดท้าย  การตายดีเป็นไปได้  การเรียนรู้เรื่อง “ตาย” กับ “ดี” มาอยู่ด้วยกันได้"
         

นพ.อรรถกร รักษาสัตย์ ศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่าบทบาทสำคัญของสถาบันการศึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีศูนย์ดูแลประคับประคอง เริ่มดำเนินการมากกว่า 10 ปี  ปัญหาสำคัญของผู้ป่วย คือ ไม่สามารถส่งคนไข้กลับไปดูแลที่บ้านได้  มหาวิทยาลัยขอนแก่นจึงมีบทบาทสำคัญไม่ใช่การสอนและผลิตบุคลากร แต่ยังมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง การสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยด้วย

“ มหาวิทยาลัยขอนแก่นใช้การศึกษามาร่วมไปกับการพัฒนาเครือข่าย ซึ่งทำให้เกิดการอบรมแพทย์ใน รพ.ระดับจังหวัด รพ.อำเภอ ไปจนถึง รพ.สต. ส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายการดูแลผู้ป่วย มีหลักสูตรโซเชียลเวิร์คเกอร์ที่ร่วมมือกับเภสัชกร ทำให้เกิดการดูแลผู้ป่วยที่ได้บ้านได้ โดยมีหัวใจคือการดูแลสุขภาพผู้ป่วยด้วยความเอาใจใส่ ไม่ใช่แค่การตอบตัวชี้วัดของกระทรวงฯ เท่านั้น แต่สามารถสร้างมาตรฐานการดูแลคนไข้ในพื้นที่ โดยมีหัวใจสำคัญการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย คือการอยู่ดีและตายดี เมื่อถึงเวลา และครอบครัวยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้”

      นายวีระศักดิ์ ชนะมาร ผู้อำนวยการกลุ่ม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 7 ขอนแก่น กล่าวว่าในระยะ  2 ปีหลังมานี้ กุฏิชีวาบาลได้รับการยอมรับและพูดถึงมากขึ้นเพราะเกิดการพัฒนางานอย่างรวดเร็ว จากเดิมการพูดถึงความตายอย่างมีศักดิ์ศรีกัน ซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจ การทำงานด้านการดูแลแบบประคับประคอง การวางแผดูแลระยะยาว และการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ  ในอดีตเน้นผู้ป่วยเป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับผู้ดูแลผู้ป่วยด้วย

      "การตั้งสถานชีวาภิบาลจากการหนุนเสริมจาก สปสช. คือ การออกแบบระบบบริการคนเข้าใจว่าเป็นผู้จ่ายค่าบริการ  กลไกที่ทำให้เกิดบริการนั้นเกิดการออกแบบการจ่ายเงินเพิ่มในบางบริการในแบบเหมาจ่ายรายหัว และบูรณาการร่วมในระบบ  การดูแลแบบประคับประคองที่มีการจ่ายเพิ่ม เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเข้าถึงบริการ และประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการดูแลตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข  ไม่ถูกทอดทิ้ง มีการอิงตามมาตรฐานวิชาชีพ  ส่วนที่ดำเนินการอยู่ คือการจัดบริการด้านสาธารณสุขและบริการสังคม เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงและผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ การเชื่อมโยงและฟื้นฟูสมรรถภาพด้วย นอกจากนั้นยังมีสนับสนุนการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่าย ระบบการรองรับการจ่ายซึ่งมีกลไกและข้อตกลง"  


นายจารึก ไชยรักษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า หนังสือแสดงเจตนาฯ ในมาตรา 12 พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 มีการคุยกันมานานกว่า 10 ปี จากเดิมที่อยู่ในรูปแบบกระดาษ แต่ปัจจุบันพัฒนามาเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์

การทำพินัยกรรมชีวิตหรือ Living Will สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นการเตรียมตัวเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะท้าย ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องทำความเข้าใจของประชาชน เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องมือในการเตรียมตัวการวางแผนในระยะท้าย เพื่อทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี การสื่อสารเรื่องการเตรียมตัวในระยะท้าย รวมถึงการวางแผนจะทำให้คุณภาพชีวิต อีกทั้งยังลดการเจ็บปวดทรมาน ภาระเรื่องการรักษาที่ไม่จำเป็น ตลอดจนลดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น

ในช่วงบ่าย นางจุฑามาศ  โมฬี  และนางสาวกนกวรรณ รับพรดี สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ นำเสนอระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาตามสิทธิด้านสุขภาพ  แนวทางการสมัครขึ้นทะเบียนเป็นภาคีเครือข่ายในระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาฯ (e-Living Will)  และกระบวนการฝึกปฏิบัติการใช้ระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนา ฯ แลกเปลี่ยนข้อมูล  ปัญหาอุปสรรค เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาระบบฯ ต่อไป

NHCO Q&A