สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์

‘กลไกขับเคลื่อนระดับพื้นที่’ สร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ‘รัฐ-เอกชน-สังคม’ ก้าวไปด้วยกัน


VIEW: 805   SHARE: 0     27-10-2025

เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว สมาชิกองค์การสหประชาชาติจำนวน ๑๙๓ ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ได้ร่วมกันให้การรับรองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เป็นทิศทางการพัฒนาที่ทุกประเทศต้องดำเนินการร่วมกันภายใต้ ๑๗ เป้าหมาย (Goals) ที่ครอบคลุมทุกมิติตั้งแต่สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงสุขภาพ โดยกำหนดกรอบช่วงระยะเวลาบรรลุผลภายใน ๑๕ ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๑๖ – ๒๐๓๐

ขณะนี้ถือเป็นช่วง ๕ ปีสุดท้าย ก่อนจะครบกำหนดเวลาสิ้นสุดที่กำหนดไว้ แต่ความน่ากังวลพบว่าการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs ทั่วโลก มีความคืบหน้าไปเพียง ๑๗% เท่านั้น โดยในส่วนของไทยแม้จะถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ ๔๓ ของโลกจาก SDG Index ประจำปี ๒๕๖๘ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่มีความก้าวหน้า แต่ยังคงพบว่ามีความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และประเด็นท้าทายสำคัญในอีกหลายมิติของการพัฒนา จึงเป็นที่มาของมติประเด็น “กลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่”

 

ศ. ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ อธิบายว่า ปัจจัยปัญหาสำคัญของประเทศไทยและถือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แบ่งออกได้เป็น ๓ ประเด็น คือ

๑. การรวมศูนย์ของรัฐราชการ โดยเฉพาะระบบการบริหารราชการในระดับจังหวัดที่มีโครงสร้างซ้อนอยู่หลายชั้น ทั้งราชการส่วนภูมิภาค จังหวัด อำเภอ หรือราชการส่วนท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล รวมถึงกลไกของหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น

๒. ปัญหาของภาคประชาสังคม ซึ่งแม้ในแต่ละพื้นที่จะมีอยู่จำนวนมาก แต่กลับขาดการร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยหากเทียบกับองค์กรภาคเอกชน เช่น หอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด นั้นจะมีความชัดเจนว่าใครเป็นตัวแทน แต่กับภาคประชาสังคมแล้วส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะมักทำงานเชิงประเด็นเป็นหลัก แต่จะขาดความชัดเจนในเชิงพื้นที่ ขาดตัวแทนที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงได้

๓. ขาดแพลตฟอร์มหรือกลไกการทำงานร่วมกันในระดับจังหวัด ด้วยความแยกส่วนกันของภาครัฐ ราชการท้องถิ่น ฯลฯ ที่แม้จะเกิดความพยายามในการสร้างกลไกร่วมอย่างการออก พรฎ.ว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่มีกลไกคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) อยู่ในจังหวัด แต่ก็ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องด้วยข้อจำกัดจากการบูรณาการที่เป็นแบบบังคับบัญชา

ศ. ดร.บรรเจิด ระบุว่า หากดูจากเป้าหมายของ SDGs ทั้ง ๑๗ ข้อเอง ก็ล้วนเชื่อมโยงเข้ามาถึงการทำงานในระดับพื้นที่ แต่ปัญหาเมื่อขาดจุดที่จะเชื่อมโยงลงมา สาระสำคัญของมตินี้จึงต้องการให้เกิดกลไกที่จะทำให้ประเด็น SDGs เข้ามาสู่การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ได้ชัดเจนขึ้น

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการดำเนินงานตาม เป้าหมายที่ ๑๗ “Partnership for the Goals” ที่มุ่งเสริมความเข้มแข็งให้กับกลไกการดำเนินงาน การสร้างความร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาที่ยั่งยืน อันเป็นกุญแจสำคัญที่จะดึงศักยภาพของภาคส่วนต่างๆ เข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้ดัชนีชี้วัดของ SDGs อีก ๑๖ เป้าหมายดีขึ้นตามไปด้วย

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ ได้ระบุถึงรูปธรรมสำคัญที่จะเกิดขึ้นจากมติสมัชชาสุขภาพ นั่นคือกลไกการทำงานร่วมในระดับพื้นที่หรือจังหวัด โดยมีภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เข้ามีส่วนร่วมในการบริหารงาน ซึ่งจะเข้าไปช่วยเติมแนวคิดตาม พรฎ.บูรณาการเชิงพื้นที่ฯ แต่เป็นในแบบที่ไม่ใช่การบังคับบัญชา

ทั้งนี้ เมื่อมติสมัชชาสุขภาพได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามเส้นทางแล้ว ความสำเร็จระยะสั้น (Quick Win) ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เลยทันที คือมีการออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรองรับแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ เพราะเรื่องนี้เองก็นับว่าเป็นทิศทางที่มีความสอดรับกับการดำเนินของหน่วยงาน และนโยบายของภาครัฐที่มีอยู่

ศ. ดร.บรรเจิด ชี้ให้เห็นถึงความสอดรับกับทิศทางการทำงานของอย่างน้อย ๒ หน่วยงาน คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ที่กำลังอยู่ระหว่างร่างกฎหมายเพื่อยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย โดยดึงเอาภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เข้ามาทำงานร่วมกันกับภาครัฐ รวมถึงสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่รับผิดชอบตาม พรฎ.บูรณาการเชิงพื้นที่ฯ ซึ่งได้พยายามปลดล็อกข้อจำกัดของ ก.บ.จ. ด้วยการสร้างภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็ง และเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการมากขึ้น

“เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เริ่มต้นจากศูนย์ เรามีอย่างน้อยสองหน่วยงานที่มีทิศทางสอดคล้องกับเรื่องนี้ชัดเจน รวมทั้งยังเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลปัจจุบันได้ประกาศที่จะปรับการบริหารงาน เพื่อให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐมากขึ้น จึงต้องบอกว่านี่เป็นช่วงของโอกาสที่ดีที่สุดในการที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ การที่เราจะใช้หลักการสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาเป็นจุดสำคัญ” อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการเมืองการปกครองรายนี้ ระบุ

ศ. ดร.บรรเจิด สะท้อนอีกด้วยว่า ที่ผ่านมาประสบการณ์ของภาคประชาสังคมในประเทศไทย หรือแม้แต่กระบวนการสมัชชาสุขภาพเองก็ตาม ได้มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หากแต่ครั้งนี้จะนับเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการที่จะยกระดับเชิงนโยบาย ไปสู่การมีกฎหมาย ด้วยเหตุผลสำคัญที่ทุกภาคส่วนล้วนประจักษ์ชัดถึงข้อจำกัดของการบริหารงานภาครัฐ ว่าภาครัฐไม่สามารถที่จะเผชิญกับภาวะวิกฤตหรือปัญหาต่างๆ ที่รออยู่ข้างหน้าได้โดยลำพัง

นั่นจึงเป็นสิ่งที่ถูกตกผลึกออกมาผ่านทั้งนโยบายของรัฐบาล ทั้งเป้าหมาย SDGs ทั้งการทำงานของหน่วยงานต่างๆ รวมถึงภาคประชาสังคมที่ได้ดำเนินการมายาวนาน แต่ขณะนี้คือจังหวะที่ปัจจัยทั้งหมดได้มาบรรจบกัน และกำลังจะถูกต่อยอดเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ผ่านฉันทมติของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ที่จะช่วยเป็นแรงส่งสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดความเป็นรูปธรรม และเมื่อกลไกนี้เกิดขึ้นแล้วก็เชื่อมั่นได้ว่าภายในระยะเวลา ๕ ปีที่เหลือ ดัชนี้ชี้วัดตามเป้าหมาย SDGs ก็จะขยับไปได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

NHCO Q&A