Silver Economy เพราะ ‘ผู้สูงวัย’ คือโอกาสขับเคลื่อนเศรษฐกิจ


VIEW: 22   SHARE: 0     20-10-2025

ภายหลังประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี ๒๕๖๖ และเตรียมก้าวต่อไปสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดในอีกไม่เกิน ๑๐ ปีข้างหน้า แน่นอนว่าเรื่องนี้คือวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วนต่างมุ่งให้ความสนใจในช่วงที่ผ่านมา นั่นเพราะตัวเลขผู้สูงอายุที่จะมีจำนวนเกิน ๒๘% หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง ๑ ใน ๓ ของคนทั้งประเทศ กำลังจะเปลี่ยนแปลงภาพของสังคมนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

แม้เราจะบอกได้ว่าที่ผ่านมาก็มีหลายหน่วยงาน ต่างวางแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือในเรื่องนี้ หากปฏิเสธไม่ได้ว่าทิศทางการดำเนินงานส่วนใหญ่อาจมุ่งไปในลักษณะของการจัดระบบสวัสดิการดูแล หรือถ้าว่าให้สุดคือการมองไปในแง่ของ ‘ภาระ’ ที่จะเกิดขึ้น แต่น้อยครั้งนักที่ผู้สูงวัยจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในเชิงของ ‘โอกาส’ ที่เราจะได้มาจากพลังของคนกลุ่มนี้ และนั่นคือเป้าหมายสำคัญที่ประเด็น “การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)” ได้ถูกประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าจะพัฒนาเข้าเป็นระเบียบวาระในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๘ ตั้งแต่ช่วงปลายปี ๒๕๖๗

 

วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy) ให้มุมมองว่า โจทย์สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจในยุคที่วัยแรงงานลดลง แต่ผู้สูงวัยมีจำนวนมากขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมองผู้สูงวัยเข้ามาเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของการขับเคลื่อนประเทศ ด้วยตัวผู้สูงวัยเองจำนวนมากยังคงมีเรี่ยวแรงและมีศักยภาพ ขณะเดียวกันก็ยังมีความต้องการบริโภคสินค้าและบริการไม่ต่างไปจากกลุ่มวัยอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

เธออธิบายถึงโอกาสต่อระบบเศรษฐกิจที่สามารถมองแยกได้เป็นสองส่วน โดยส่วนแรกคือบทบาท “ผู้สูงอายุในฐานะปัจจัยการผลิต” ซึ่งผู้มีอายุเกิน ๖๐ ปี ที่ถูกมองว่าเป็นวัยเกษียณ จำนวนมากอยู่ในกลุ่ม ‘Active Aging’ ที่ยังคงมีศักยภาพเพียงพอจะอยู่ในตลาดงานได้ แต่ต้องมามองว่างานประเภทใดที่เหมาะสมกับผู้สูงวัย โดยอาจมีในเรื่องของการพัฒนาทักษะ การ ReSkill, UpSkill หรือ NewSkill ให้สอดคล้องกับศักยภาพ รวมไปถึงสภาพร่างกายของผู้สูงวัยเข้ามาเติมเต็ม

“เมื่อก่อนอาจถูกจำกัดว่ามีแต่หมอ ผู้พิพากษา หรือบางอาชีพที่ให้ต่ออายุการทำงาน แต่ความจริงแล้วผู้สูงวัยหลายคนเขามีความพร้อมที่จะทำงานต่อ แต่เราจะหาทักษะอะไรที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด บางคนอาจใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาไปเป็นที่ปรึกษา หรือแม้แต่ไปประกอบการธุรกิจของตัวเองกลายเป็น Olderpreneur ในระดับพื้นที่บางทีอาจใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำหน้าที่สืบสานศิลปวัฒนธรรม หัตถกรรม ฯลฯ รวมถึงผู้สูงวัยที่กลายไปเป็นยูทูบเบอร์ ติ๊กต็อกเกอร์ ก็มีให้เราเห็นมากขึ้น” วรวรรณ ให้ภาพแนวทาง

 

ส่วนถัดมาคือบทบาท “ผู้สูงอายุในฐานะผู้บริโภค” ที่ผู้สูงวัยเองก็มีความต้องการสินค้าและบริการที่จำเป็นเฉพาะกลุ่มบางอย่าง จึงเป็นโจทย์ที่ต้องมาสนับสนุนให้ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองกับความต้องการเหล่านั้น เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่เคี้ยวง่ายและมีประโยชน์ บริการดูแลที่บ้านหรือไปส่งโรงพยาบาล ฯลฯ โดยเมื่อเกิดสินค้า และบริการที่เหมาะสมแล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการลดความเหลื่อมล้ำ มีกลไกในการควบคุมราคาให้สมเหตุสมผล เพื่อให้ผู้สูงวัยทุกคนสามารถเข้าถึงได้

แต่ไม่ว่าจะด้วยบทบาทในการผลิตหรือการเป็นผู้บริโภคก็ตาม อีกประเด็นใหญ่ที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงคือเรื่องของกลไกหรือเครื่องมือ ตัวอย่างเช่นแพลตฟอร์มที่จะช่วยในการจับคู่ระหว่าง Demand & Supply เพื่อชี้ว่า ‘ใครทำอะไรอยู่ที่ไหน’ ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานกับทักษะความเชี่ยวชาญของผู้สูงอายุ หรือการจับคู่กันระหว่างความต้องการของผู้สูงอายุกับสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์

นอกจากการมองบทบาทผู้สูงวัยในสองด้านนี้แล้ว ประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ ยังระบุไปถึงข้อเสนอต่อภาพรวม ที่ต้องการให้สังคมเกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงวัยให้อยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การก่อสร้างที่คำนึงถึงอารยสถาปัตย์ (Universal Design) การยกระดับบริการดูแลในชุมชนที่มีมาตรฐาน การส่งเสริมอาชีพผู้ดูแล (Caregiver) ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นต้น โดยจุดเริ่มต้นนั้นควรมีการพุ่งเป้าไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด

ท้ายสุดแล้วทั้งหมดที่ว่านี้ เธอระบุว่าจะต้องนำไปสู่การสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักให้แก่ผู้คนในสังคม ซึ่งนั่นหมายถึงผู้คนในทุกช่วงวัย ได้มีความรู้ความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญในพลังของผู้สูงอายุตามสาระสำคัญในมติสมัชชาสุขภาพ เพราะไม่ว่าใครก็ตามในวันใดวันหนึ่งก็จะต้องกลายเป็นผู้สูงอายุ แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้นแล้ว เขาได้มีการเตรียมความพร้อมอย่างไร

รองเลขาธิการสภาพัฒน์ มองว่าภาพรูปธรรมสำคัญที่ทุกคนน่าจะได้เห็นเป็นความสำเร็จระยะสั้น  (Quick Win) ได้ก่อนจากมตินี้ หนึ่งในนั้นคือการดำเนินงานของ “จ.พะเยา” ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนคู่ขนานไปพร้อมกับการพัฒนาร่างมติ เพื่อให้เป็นพื้นที่นำร่องของโมเดลเศรษฐกิจสูงวัยภายในจังหวัด ซึ่งหากประสบความสำเร็จได้แล้ว เธอเชื่อว่านี่จะเป็นภาพตัวอย่างที่ช่วยให้เกิดการขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ รวมถึงสร้างกระแสให้สังคมได้เห็นว่า ‘Silver Economy’ สามารถเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังรวมถึงการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ ทั้งหน่วยงานที่ได้มีส่วนร่วมอยู่ภายในคณะทำงานจำนวนมาก รวมถึงอีกหลายๆ ภาคส่วนที่ต่างเดินหน้าอยู่ในทิศทางเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาคท้องถิ่นที่มองปัจจัยเรื่องการดูแลผู้สูงวัยในพื้นที่มากขึ้น หรือภาคธุรกิจเอกชนที่เริ่มเบนเข็มมาสู่ทิศทางนี้ ตลอดจนแวดวงการแพทย์และสาธารณสุขเองที่พูดถึงเทรนด์ของการมีอายุยืนยาว (Longevity) ศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) ฯลฯ กันมากขึ้น ทั้งหมดคือการขับเคลื่อนภายใต้บริบทของสังคมสูงวัย ในจุดที่สอดรับกันกับโอกาสที่แต่ละภาคส่วนมองเห็น

“เราไม่ได้เพิ่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เรามีการเตรียมความพร้อมกันก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว หลายหน่วยงานก็มีแผนงานประจำที่รับผิดชอบกันอยู่ แต่สิ่งที่เราอยากสร้างให้เกิดกระแส คือการเปิดมิติที่ว่าผู้สูงวัยนั้นเป็นพลังในการขับเคลื่อนประเทศได้จริง โดยการขับเคลื่อนจากภาครัฐบาลเองก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เรามองไปถึงการขับเคลื่อนของทุกภาคส่วน ไม่ว่าภาคประชาสังคม ท้องถิ่น หรือเอกชน หากเขาสามารถเห็นถึงผลกระทบและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น มติสมัชชาสุขภาพนี้ก็ถือเป็น Soft Power ที่สำคัญของประเทศ ที่เขาสามารถดึงไปใช้ขับเคลื่อนได้เลยทันที” วรวรรณ ทิ้งท้าย

NHCO Q&A