แรงผลักดันหลักมาจาก "โจทย์ใหม่ของโลก" ที่บีบให้เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด

เราก็เริ่มเห็นชัดแล้วว่า วิธีเดิมที่เราทำอยู่ คือการ 'ตั้งรับ' อย่างเดียว มัน "ไม่เพียงพอ" และในระยะยาว "ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง" ต้องย้ำนะครับว่า การ "ตั้งรับ" หรือการรักษาพยาบาลในบ้านเราให้ดีที่สุดนั้น "จำเป็น" และ "ต้องทำ" อยู่แล้ว... โรงพยาบาลเราต้องเก่ง หมอพยาบาลเราต้องพร้อม... แต่มตินี้กำลังชี้ให้เห็นว่า การทำแค่ "เชิงรับ" อย่างเดียว มันไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ การดำเนินงานในปัจจุบันของเรา สะท้อนถึง 'ความสามารถในการตั้งรับ' (our reactive capacity) และการ 'บริหารจัดการผลกระทบเฉพาะหน้า' ได้อย่างดีเยี่ยมครับ... ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง...
แต่ในขณะเดียวกัน สถานการณ์นี้ก็ได้ 'ชี้ให้เห็นถึงโอกาสเชิงยุทธศาสตร์' (a strategic opportunity) ที่สำคัญยิ่งครับ... ว่าการบริหารจัดการเฉพาะปลายเหตุเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ... เพราะ 'แหล่งกำเนิดของปัญหา' (the source of the issue) — ซึ่งก็คือ 'ภาวะไร้เสถียรภาพ' และ 'การขาดการเข้าถึงระบบสุขภาพ' ในพื้นที่เพื่อนบ้าน... เช่น สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา หรือความเสี่ยงด้านสาธารณสุขบริเวณชายแดนกัมพชา... ยังคงส่งผลกระทบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง...
ผลลัพธ์ก็คือ... ทรัพยากรของเราถูกใช้ไปกับการ 'วนซ้ำ' เพื่อแก้ไขปัญหาเดิมที่ปลายเหตุ... เมื่อเราดูแลกลุ่มนี้จนดีขึ้น ก็มีกลุ่มใหม่ที่ต้องการความช่วยเหลือทะลักเข้ามา... มันจึงเป็น 'วัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด' (an unending cycle) และ "ต้นทุน" ที่แท้จริงจากวัฏจักรนี้... ไม่ใช่แค่ตัวเงินงบประมาณที่เราต้องทุ่มลงไปอย่างต่อเนื่อง... แต่คือ 'ต้นทุนค่าเสียโอกาส' (Opportunity Cost) ครับ... คือการสูญเสียศักยภาพที่เราจะนำทรัพยากรเหล่านั้นไปใช้ในการ 'ลงทุนเชิงรุก' (proactive investments) เพื่อสร้างอนาคต... เช่น การพัฒนาวัคซีนของเราเอง, การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์, หรือการดูแลผู้สูงอายุในประเทศ และนี่จึงนำมาสู่ "แรงผลักดัน" ที่แท้จริงครับ...
เมื่อเราเห็น "โจทย์โลก" (Polycrises) และเห็น "จุดอ่อน" ของการตั้งรับแบบเดิม... มันจึงบีบให้เราต้องหา "ทางออก" หรือ "เครื่องมือใหม่"
ซึ่ง "ทางออก" นั้น... ก็คือ "หัวใจของมตินี้" ครับ... มันคือ การเปลี่ยนวิธีคิดครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่า 'การเปลี่ยนกระบวนทัศน์' (Paradigm Shift)... เราต้องเลิกมองระบบสุขภาพเป็นแค่ 'รายจ่ายจำเป็น' ที่เราต้อง 'กันงบ' ไปจ่ายทุกปี... หรือมองเป็น 'ภาระ' ที่รัฐต้องคอยแบกรับครับ...แต่มตินี้กำลังชวนเรามองใหม่ ว่าระบบสุขภาพคือ 'การลงทุนที่สำคัญที่สุด' ของประเทศ...
และที่สำคัญที่สุดคือ... มตินี้ชวนเรา "พลิกมุมมอง" จากเดิมที่เราอาจจะเคยชินกับความคิดที่ว่า "ได้อย่างเสียอย่าง" เช่น... ความคิดแบบเก่าอาจจะมองว่า ถ้าเราเอาเงินไป "ช่วยเพื่อนบ้าน" (เชิงมนุษยธรรม) ก็แปลว่าเรามีเงิน "ดูแลคนในบ้าน" น้อยลง... หรือถ้าเราเน้น "สาธารณสุข" (เช่น ล็อกดาวน์) เราก็ต้องเสีย "เศรษฐกิจ" ไป...แต่มตินี้กำลังชี้ให้เห็น ว่ามีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือสร้าง "Win-Win Situation" หรือ "สถานการณ์ที่ชนะด้วยกันทุกฝ่าย"
และพอเราตั้งโจทย์ว่า... เราต้องการ "เครื่องมือ" ที่จะสร้าง "Win-Win Situation" ให้ได้...มันก็เลยเกิดการ "ตระหนักรู้" (Realization) ขึ้นมาว่า "เครื่องมือ" หรือ "ตัวเชื่อม" ที่ดีที่สุดที่อยู่ใกล้ตัวเรามาตลอด... ก็คือ "ระบบสุขภาพไทย" นั่นเอง
ต้องย้ำให้ชัดอีกครั้งว่า มตินี้ไม่ได้กำลังบอกว่าระบบสุขภาพของเราดีเลิศ ไร้ที่ติ หรือไม่ต้องพัฒนาอะไรต่อแล้ว... ในทางตรงกันข้ามครับ ในบ้านเราเองเรายังวิพากษ์วิจารณ์กันหนักมาก ถึงปัญหาความแออัด, ภาระงานที่หนักมากของหมอพยาบาล, หรือประเด็นงบประมาณ UHC ที่เรามักจะมองกันว่าเป็น 'ต้นทุน' หรือ 'ภาระ'...
...แต่ในขณะเดียวกัน ที่เรากำลังพยายาม "แก้ไข" ปัญหาภายในเหล่านี้... วิกฤตโควิด-19 มันทำหน้าที่เหมือน "กระจก" ที่สะท้อนให้เราเห็นครับว่า...สิ่งที่คนนอก โดยเฉพาะ "ต่างประเทศ" มองเห็น ... พวกเขาไม่ได้เห็น "ภาระ" แบบที่เรากำลังกังวล... แต่พวกเขากลับ "ยกย่อง" (renowned) และ "ทึ่ง" ในสิ่งที่เรามี เขาทึ่งกับ ระบบ UHC ของเรา ว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทรงพลัง... เขาทึ่ง กับระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยเฉพาะพลังของเครือข่ายพี่น้อง อสม. ที่เข้าถึงทุกครัวเรือน... สิ่งเหล่านี้คือ "จุดแข็ง" ที่หลายประเทศไม่มีครับ...
ดังนั้น การ "ตระหนักรู้" ครั้งนี้ คือคำตอบครับ ว่าในขณะที่เราต้อง "เดินหน้าพัฒนา" และ "แก้ไขจุดอ่อน" ในบ้านเราต่อไปอย่างเข้มข้น... เราก็ไม่สามารถมองข้าม "จุดแข็ง" ที่เรามีได้... ศักยภาพที่เราอาจจะมองข้ามนี้ แท้จริงแล้วคือ 'สินทรัพย์' หรือ 'ต้นทุนทางยุทธศาสตร์' (Strategic Asset) ที่ทรงพลัง ที่เราสามารถ "ปลดล็อก" มันมาใช้เป็น 'เครื่องมือชิ้นสำคัญ' ในการตอบโจทย์ "ความผันผวนของโลก" และสร้าง "Win-Win Situation" ที่เราต้องการได้ทันที
- ความท้าทายสำคัญที่สุดในการนำเสนอและขับเคลื่อนมตินี้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
ความท้าทายสำคัญที่สุดก็คือ "ช่องว่าง" ช่องว่างระหว่าง 'ความคิดใหม่' ที่เราอยากไป กับ 'ความคุ้นชินแบบเก่า' ที่เรายังติดอยู่ หรือพูดอีกอย่างคือ ความท้าทายนี้แบ่งได้เป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ : เรื่องแรกคือ ความท้าทายในการ "สร้างความเข้าใจร่วม" (Changing Mindsets) อธิบายคือ... นี่คือความยากในการ "สื่อสาร" แนวคิดใหม่ๆ โดยเฉพาะการชวนคนให้เปลี่ยนวิธีคิดจากการมองระยะสั้น ไปมองระยะยาว พูดง่ายๆ คือ เราต้องท้าทายวิธีคิดแบบเดิมที่มองแต่งบประมาณระยะสั้น หรือ 'แก้ผ้าเอาหน้ารอด' เราต้องเลิกคิดแบบ "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"

ความท้าทายที่แท้จริงคือ เราจะ "ฉายภาพ" ให้สังคมเห็นชัดได้อย่างไร ว่าการที่เราลงทุนไป "นอกบ้าน" วันนี้... ไม่ใช่การ "ทิ้งคนในบ้าน"...เราจะสื่อสารให้เห็น 'ต้นทุนของการไม่ทำอะไรเลย' (Cost of Inaction) ได้อย่างไร? เราต้องชี้ให้เห็นชัดๆ ครับว่า การลงทุนเพียง 'เล็กน้อย' ในการป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆเช่น การไปช่วยเพื่อนบ้านเฝ้าระวังโรค มันคือ 'ผลประโยชน์แห่งชาติที่มองการณ์ไกล' (Enlightened Self-Interest) และมันประหยัดกว่ามหาศาล และ คุ้มค่ากว่า (Cost-Effective) เมื่อเทียบกับความเสียหายทั้งชีวิต และเศรษฐกิจ ที่เราต้องจ่าย หากเราปล่อยให้โรคระบาดมันลามเข้ามาในบ้านเราแล้ว...
นี่คือความท้าทาย ที่จะทำให้คน คิดครบ, คิดลึก, คิดยาว ไปด้วยกันครับ ว่าการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างแบบนี้ มันคือประโยชน์ที่ยั่งยืนของประเทศไทยอย่างแท้จริง
เรื่องที่สองคือ ความท้าทายในการ "ออกแบบกลไกให้เกิดการเคลื่อนไหวจริง" (Enabling Mechanisms)
เรื่องนี้สำคัญมากครับ เพราะนี่คือความท้าทายที่จะ "ลบคำสบประมาท" ที่คนมักจะพูดว่า 'มีแต่พูด แต่ไม่ทำ' (No Action, Talk Only) คือเราต้องพิสูจน์ให้เห็น ว่าเราสามารถสร้าง "การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง" ได้จริง... ซึ่งความท้าทายนี้ มันก็แตกย่อยออกมาเป็น 2 เรื่องที่เราต้องหา 'นวัตกรรมการทำงาน' (Process Innovation) ใหม่ๆ มาตอบโจทย์
นวัตกรรมแรกคือ การ "ทลายกำแพงกั้นระหว่างหน่วยงาน" (Breaking Silos) เพราะปัญหาแบบ 'Polycrises' ที่เราคุยกัน มันใหญ่เกินกว่าที่กระทรวงเดียวจะแก้ได้... แต่ทุกวันนี้เรายังทำงานแบบต่างคนต่างทำ หรือที่เรียกว่า 'ไซโล' (Silos)
ทางออกที่มตินี้พยายามเสนอ ก็คือ 'นวัตกรรม' อย่างการใช้ 'งบประมาณแบบร่วมกัน' (Joint Budgeting)... เพื่อ "บังคับ" ให้ทุกฝ่ายต้องหันหน้ามาคุยกัน กำหนด 'เป้าหมายเดียวกัน' และรับผิดชอบร่วมกัน
นวัตกรรมที่สองคือ การ "เปลี่ยนพื้นที่สีเทาให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์" (From Grey Zone to Growth Zone)หมายความว่า ทุกวันนี้เราพึ่งพา 'ฮีโร่' ด่านหน้า ที่ยอม 'เสี่ยงทำนอกกฎ' เพื่อช่วยคนไข้... ซึ่งการทำงานใน 'พื้นที่สีเทา' (Grey Zone) แบบนี้มันไม่ยั่งยืน และทำให้ "ระบบ" ไม่ได้เรียนรู้ ทางออกที่มตินี้เสนอ คือการหา 'วิธีทำงานที่ตอบโจทย์' ใหม่ๆ เช่น การสร้าง พื้นที่ทดลองนวัตกรรม' (Regulatory Sandbox) หรือ "พื้นที่นำร่องที่ปลอดภัย"... เพื่อให้เรากล้าลองวิธีใหม่ๆ และเปลี่ยน 'บทเรียน' นั้น ให้เป็น "กฎกติกาใหม่" ที่ทุกคนใช้ได้
- มตินี้จะสร้างความยั่งยืนให้กับระบบสุขภาพของประเทศในระยะยาวได้อย่างไร?

มตินี้จะสร้างความยั่งยืนโดยการ "แก้โจทย์" คือการ 'สร้างระบบใหม่' ที่ออกแบบมาเพื่อ 'อุดช่องโหว่' และ 'ทลายกำแพง' ที่เราพูดถึง โดยจะสร้าง "ระบบภูมิคุ้มกัน" ที่แข็งแรงและฉลาด หรือที่เรียกกันว่า 'ความยืดหยุ่นเชิงระบบ' (Systems Resilience)... อธิบายง่ายๆ คือ... เราไม่ได้สร้าง 'กำแพง' ที่แข็งแต่เปราะ พอโดนชนแรงๆ ก็พัง... แต่เราสร้าง 'ระบบ' ที่ 'ปรับตัวเป็น' (Adaptive) พร้อมรับมือวิกฤต... และที่สำคัญคือ ไม่ใช่แค่ 'ล้มแล้วลุก' (Bounce Back) แต่ต้อง 'ล้มแล้วลุกขึ้นมาเก่งกว่าเดิม' (Bounce Forward) ได้... โดยมีเสาหลัก 3 ต้น ที่มา "ตอบโจทย์" ความท้าทายในคำถามที่ 2 ครับ:
เสาแรกคือ สร้าง"การพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ" ให้ได้ นี่คือการแก้ปัญหาการคิดระยะสั้นโดยการสร้างเครื่องมือทางการเงินระยะยาว หรือ 'แหล่งทุน' (Funding Innovation) ที่ไม่ต้องรอการอนุมัติรายปี... ที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพราะเวลาเกิดวิกฤต 'ความเร็ว' (Agility) คือทุกอย่าง ทางออกที่ตอบโจทย์ คือ 'กองทุนความมั่นคงด้านสุขภาพ' เพื่อให้เราคล่องตัว มีเงินสำรองฉุกเฉินพร้อมใช้ทันที... และการเร่ง 'ลดความเสี่ยง' (De-risk) โดยการส่งเสริมการผลิตยา วัคซีน และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นในประเทศ
เสาที่สองคือ สร้าง"ความพร้อม" ด้วยการมองไปข้างหน้า นี่คือเครื่องมือสำคัญที่จะมาทลายกำแพง หรือ 'Silos' เพราะวิธีคิดแบบเดิม มันเหมือนการรอให้ฝนตกก่อน แล้วค่อยวิ่งไปหาที่หลบ ทางออกที่ชาญฉลาด คือการ "เช็คพยากรณ์อากาศล่วงหน้า" ครับ... หรือที่เรียกว่า 'การมองการณ์ไกลเชิงยุทธศาสตร์' (Strategic Foresight) ... โดยมี 'ศูนย์ยุทธศาสตร์สุขภาพ' ทำหน้าที่เหมือน 'ศูนย์พยากรณ์อากาศชั้นดี' (Watchtower) ที่คอยสอดส่องข้อมูลทั่วโลก...แต่งานของศูนย์นี้ ไม่ใช่แค่ 'รวบรวมข้อมูล' (Data) ว่าเมฆอยู่ตรงไหน... แต่ต้อง 'วิเคราะห์' มันออกมาเป็น 'ข่าวกรองที่นำไปปฏิบัติได้' (Actionable Intelligence) และที่สำคัญคือ... เมื่อทุกกระทรวง... "เห็นพยากรณ์อากาศฉบับเดียวกัน" ก็จะเลิกทำงานแบบต่างคนต่างทำ... และหันมาวางแผนบน 'เป้าหมายร่วม' เดียวกัน คือ "รับมือพายุลูกนี้" ได้
เสาสุดท้าย และสำคัญที่สุดคือ สร้าง ความยั่งยืนด้วยคน และเพื่อน นี่คือการ 'แก้ปัญหาพื้นที่สีเทา' คือการสร้าง 'เส้นทางสว่าง' ที่ถูกต้องและยั่งยืน มาแทนที่ 'ทางลัด' ที่อันตรายแบบเดิม...เราเรียกสิ่งนี้ว่า 'ทุนมนุษย์' (Human Capital) และที่เราเน้นเรื่อง 'คน' ที่สุด ก็เพราะในระยะยาว ไม่ว่าเทคโนโลยีจะดีแค่ไหน หรือมีเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่ยั่งยืนเท่า คน และ 'ความไว้วางใจ' (Trust) ดังนั้นทางออกที่ยั่งยืนที่สุด คือการลงทุนในคน ผ่าน 'การทูตเชิงสุขภาพ' (Health Diplomacy) ครับ...และนี่คือตัวอย่างที่ชัดที่สุดของ 'สถานการณ์ที่ชนะด้วยกันทุกฝ่าย' (Win-Win Situation)
Win ที่หนึ่ง (เพื่อนบ้าน): เขาได้ระบบสุขภาพที่ดีขึ้น...
Win ที่สอง (ประเทศไทย): เราได้ "เพื่อน" และ "เครือข่ายเฝ้าระวังโรค" ที่เป็น 'ด่านแรก' (First Line of Service) ให้เรา...
Win ที่สาม (ทั้งภูมิภาคและไทย): เมื่อภูมิภาคปลอดภัยและมั่นคง... มันก็จะช่วยกันยกระดับประเทศไทยสู่ 'ศูนย์กลางสุขภาพของโลก' (Global Health Hub) ซึ่งจะดึงดูดทั้งการลงทุนและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กลับมาสร้างความมั่นคงที่แท้จริงให้ประเทศ
นี่คือการเปลี่ยนจาก 'ต้นทุน' ไปสู่ 'การสร้างคุณค่า' ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง...



