.....ทรงพล ตุละทา..... |
ช่วง ก.ค. – ส.ค. 2568 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเป็นวิทยากร Workshop การพัฒนาธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา ที่จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดนครสวรรค์ครับ เลยนำเนื้อหาจากการประชุมเชิงปฏิบัติการมาเรียบเรียงให้อ่านกันครับ
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทายใหม่ๆ การศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องของการเรียนวิชาการอีกต่อไป แต่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชนพร้อมรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อน เช่น ปัญหาสุขภาพจิต, ภัยเงียบจากบุหรี่ไฟฟ้า, หรือภาวะโภชนาการที่ไม่สมดุลสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายการจัดทำ “ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา”เพื่อให้เด็กและเยาวชน “เรียนดี มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี”
WHY : ทำไมธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาจึงสำคัญ
นโยบายทั่วไปมักเป็นแบบ Top-down หรือการสั่งการจากบนลงล่าง ซึ่งอาจทำให้เกิดการต่อต้านและช่องโหว่ในการนำไปปฏิบัติแต่ “ธรรมนูญสุขภาพ” คือ “ข้อตกลงร่วม” ที่ทุกคนในสถานศึกษาได้ร่วมกันสร้างขึ้น ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของและพร้อมที่จะร่วมมือกัน
ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาเปรียบเสมือน “กติกาแม่” ของโรงเรียน โดยทุกนโยบายที่จัดทำขึ้นจะต้องสอดคล้องกับธรรมนูญฉบับนี้หัวใจสำคัญของธรรมนูญสุขภาพคือการนำแนวคิด “สุขภาพ 4 มิติ” และ “สุขภาพในทุกนโยบาย” (Health in All Policies: HiAP) มาใช้ตามนิยามของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
![]() |
WHAT : ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาคืออะไร
“ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา” คือ “ข้อตกลงร่วมกันของคนในสถานศึกษา”โดยเป็นนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมที่พัฒนาขึ้นในแต่ละสถานศึกษาเองมันคือเครื่องมือที่ทำให้สถานศึกษากลายเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และการเติบโตอย่างมีคุณภาพโดยเป็น “กรอบนโยบายการพัฒนาสุขภาวะตามบริบทและความต้องการของพื้นที่นั้นๆ อย่างมีส่วนร่วม”ซึ่งเป็นการกำหนดทิศทางหรือแนวปฏิบัติอันจะนำไปสู่สุขภาวะที่ดีของชุมชน
ธรรมนูญสุขภาพจึงไม่ใช่แค่การฟังเสียง แต่คือการ “ร่วมสร้าง” ตั้งแต่การระบุปัญหา, การวิเคราะห์ข้อมูล, การกำหนดทางเลือก, การตัดสินใจ ไปจนถึงการติดตามผล
HOW : ขั้นตอนการสร้างธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา
กระบวนการสร้าง “ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา” ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สามารถทำตามขั้นตอนที่เป็นระบบได้โดยมี “ผู้ก่อการดี” และ “คณะทำงาน” เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสช. มีบทบาทเป็นผู้หนุนเสริมและผู้อำนวยความสะดวกในกระบวนการสำคัญ 4 ขั้นตอน :
1. การเตรียมความพร้อม (กระบวนการขาขึ้น) :
สร้างทีมผู้ก่อการดี: เริ่มจากการค้นหาและรวมตัวผู้ที่มีความตั้งใจและพลังในการขับเคลื่อน
สร้างการรับรู้และความเชื่อร่วม : จัดเวทีพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันว่า “ทำไม” การมีส่วนร่วมจึงสำคัญ และ “สุขภาพ” ไม่ใช่แค่เรื่องการรักษาพยาบาล
2. การยกร่าง (กระบวนการจัดทำ) :
▪️ถอดรหัสสถานการณ์และค้นหาขุมทรัพย์ (Analysis & Asset Mapping) : นี่คือหัวใจของกระบวนการ มีเครื่องมือสำคัญ 3 อย่าง :
▪️ร่างแหของปัญหา (Problem Web): ระดมสมองและระบุปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาและลากเส้นเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์
▪️ผู้คนบนเวที (Stakeholder Analysis): วิเคราะห์ว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ ทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผู้ที่มีส่วนสร้างปัญหา และผู้ที่มีอำนาจในการแก้ไข
▪️ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ (Social Capital): เปลี่ยนมุมมองจากการหาแต่ปัญหา มาเป็นการมองหา “ต้นทุนที่ดี” หรือ “สินทรัพย์ทางสังคม” ที่มีอยู่แล้วในพื้นที่
▪️ตั้งหลักเชิงนโยบาย: จากข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ ให้นำมาจัดทำ “พิมพ์เขียว”เพื่อแปลง “รากเหง้าของปัญหา” ให้เป็น “เป้าหมายระยะยาว” (3-5 ปี)และกำหนด “หลักการชี้นำ” ซึ่งคือหัวใจของธรรมนูญโดยใช้ภาษาเชิง “ข้อตกลงร่วม” และ “คำมั่นสัญญา”
การตั้งหลักเชิงนโยบาย: จาก “ธรรมนูญ” สู่ “การลงมือทำ”
การสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในสถานศึกษาและชุมชนไม่ได้เกิดขึ้นจากการลงมือทำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มต้นจากการมี “กรอบ” หรือ “หลักการชี้นำ” ที่ชัดเจนก่อน. ในฐานะนักวิชาการจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ผมขอนำเสนอความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง “ธรรมนูญ/นโยบาย” กับ “แผนงาน/โครงการ/กิจกรรม” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสุขภาวะแบบมีส่วนร่วม
ธรรมนูญสุขภาพ: “รัฐธรรมนูญ” ของสถานศึกษา
ธรรมนูญสุขภาพทำหน้าที่เป็น “กรอบ” และ “หลักการชี้นำ” สำหรับการพัฒนาสุขภาวะในระยะยาว. มันเปรียบเสมือน “รัฐธรรมนูญ” ของสถานศึกษา. การเขียนธรรมนูญจะใช้ภาษาเชิง “ข้อตกลงร่วม” และ “คำมั่นสัญญา” ที่ทุกฝ่ายได้ร่วมกันสร้างขึ้น. ตัวอย่างเช่น “เราจะส่งเสริม…” หรือ “เราจะไม่ยอมให้…”. ธรรมนูญมีเป้าหมายหลักในการสร้าง “ทิศทาง” และ “วัฒนธรรมองค์กร” ที่ยั่งยืนและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง.
แผนงาน/กิจกรรม: “กฎหมายลูก” ที่เป็นรูปธรรม
ในทางตรงกันข้าม แผนงาน, โครงการ หรือกิจกรรมเปรียบได้กับ “กฎหมายลูก” เป็น “การลงมือทำ” ที่เป็นรูปธรรมและวัดผลได้. แผนงานมีระยะเวลาสั้น (ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี) และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ภาษาที่ใช้จะเป็นเชิง “การปฏิบัติ” ที่ระบุถึงสิ่งที่ต้องทำอย่างชัดเจน เช่น “จัดอบรม…” หรือ “สำรวจข้อมูล…”. เป้าหมายของแผนงานคือเพื่อให้เกิด “ผลลัพธ์” ที่วัดผลได้ในระยะสั้น
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง
![]() |
ตัวอย่างการแปลงรากปัญหาเป็นนโยบายและกิจกรรม
![]() |
ตัวอย่างเช่น :
▪️รากเหง้าของปัญหา: นักเรียนขาดพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยระบายความเครียด
▪️หลักการชี้นำ (นโยบาย): “เราเชื่อว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งการรับฟัง และจัดให้มีช่องทางการดูแลช่วยเหลือที่หลากหลายและเป็นความลับ”
▪️ตัวอย่างกิจกรรม/โครงการ: จัดตั้งโครงการ “เพื่อนที่ปรึกษา” (Peer Counselor) หรือสร้างช่องทาง “Online anonymous chat” ให้คำปรึกษา
▪️ผู้รับผิดชอบ: ครูแนะแนว โรงพยาบาลอำเภอ และกลุ่มผู้ปกครอง
การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างและขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
3. การขับเคลื่อน (กระบวนการขาเคลื่อน):
แปลงธรรมนูญสู่การปฏิบัติ: ธรรมนูญเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญส่วนแผนงาน/โครงการคือ “กฎหมายลูก”ที่ใช้ในการนำไปปฏิบัติจริง
การจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม: ทุกฝ่ายต้องมาร่วมกันกำหนดแผนงานและกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมโดยระบุผู้รับผิดชอบหลักและภาคีเครือข่ายอย่างชัดเจน
การใช้เครื่องมือของ สช.: สช. มีเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ในการขับเคลื่อนได้ เช่นสมัชชาสุขภาพ ซึ่งเป็นเวทีสำหรับการปรึกษาหารือร่วมกันหรือการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) สำหรับนโยบายหรือโครงการที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
4. การติดตามและประเมินผล (กระบวนการขาประเมิน):
ติดตามผลและเสริมพลัง: การติดตามไม่ใช่แค่การตรวจสอบ แต่เป็นการร่วมกันเรียนรู้และปรับปรุงโดยมีการทบทวนผลการดำเนินงานเป็นระยะเพื่อเสริมพลังและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย
เผยแพร่และขยายผล: สื่อสารความสำเร็จที่เกิดขึ้นในพื้นที่สู่สาธารณะเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และทำให้เกิดการรับรู้เรื่องธรรมนูญอย่างกว้างขวางตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ผลการดำเนินงานของโรงเรียนสภาราชินี จังหวัดตรังที่สามารถลดสถิติการตรวจพบการใช้สารเสพติดของนักเรียนในภาคเรียนที่ 2 ลงได้ถึง 90.74%
บทสรุป: ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาคือ “พันธกิจร่วมกัน”
“ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา ไม่ใช่แค่เอกสาร แต่คือ ‘พันธกิจร่วมกัน’ “ที่จะเปลี่ยนสถานศึกษาให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัย”เป็นแหล่ง “บ่มเพาะปัญญาและทักษะ”และเป็น “จุดเริ่มต้นของพลังสำคัญ”ที่จะนำพาประเทศไทยก้าวผ่านทุกความท้าทายในอนาคตด้วยแนวคิดที่ “ติดดิน กินได้ ใกล้ตัว ไม่มัวติดรูปแบบ”นี่คือแนวทางของ สช. ในการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อสร้างสรรค์นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ที่มา :![]() |