เทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้า อุปกรณ์เครื่องมือการรักษาที่ล้ำสมัย ทั้งหมดนี้ย่อมไม่อาจสร้างสุขภาพที่ดีให้กับใครได้ หากพวกเขายังไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคด่านแรกด้วย ‘การเข้าถึง’ บริการสุขภาพดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังตกหล่นอยู่ตามพื้นที่ห่างไกล ผู้ที่อาจไม่ได้รับประโยชน์อันใดหากเรามุ่งไปที่การสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่โต
เฉกเช่นเดียวกันกับสุขภาพที่ดี ก็ไม่ได้มีที่มาจากขีดความสามารถของการรักษาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะปัจจัยสำคัญนั่นคือการป้องกันไม่ให้คนเกิดโรคภัย หากแต่สิ่งที่ฟังดูเหมือนจะง่ายนี้ก็อาจไม่ใช่เรื่องที่จัดการได้ในทันที เพราะเมื่อมีมิติที่เกี่ยวข้องอยู่มากมาย การทำงานจึงต้องอาศัยภาคส่วนที่หลากหลายมาร่วมมือเข้าด้วยกัน
นั่นทำให้คีย์เวิร์ดสำคัญของการทำงานทั้งหมดนี้ จึงอยู่ที่การดึงเอาประโยชน์จากเทคโนโลยีมาช่วยให้คนเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะมิติของการส่งเสริมป้องกันเพื่อไม่ให้นำไปสู่การเจ็บป่วย
ด้วยสายตาที่เปี่ยมประสบการณ์ทั้งในภาคเอกชนไปจนถึงรัฐบาล ตั้งแต่ขั้นปฏิบัติการไปจนถึงการสร้างนโยบาย ตลอดหลายทศวรรษที่ได้ทำงานในหลายองค์ประกอบตั้งแต่อุตสาหกรรมยา โรงพยาบาล ไปจนถึงหน่วยงานวิจัยด้านสุขภาพ และระบบหลักประกันสุขภาพ มาถึงปัจจุบันในฐานะที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูล สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ทำให้ ภญ.เนตรนภิส สุชนวนิช กลายเป็นผู้หนึ่งที่จะช่วยสะท้อนให้เราเห็นถึงภาพรวมของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
ย้ายสังกัด ‘บริการปฐมภูมิ’ ต้องดีขึ้นกว่าเดิม
เธอเริ่มต้นอธิบายด้วยภาพการเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขไทย จากเดิมที่ภารกิจงานด้านสุขภาพนั้นจะอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นหลัก แต่มาในระยะหลังได้มีการแบ่งงาน ‘สุขภาพปฐมภูมิ’ ออกมาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มากขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เข้ามาอยู่ภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
ทั้งนี้ เมื่อภาพการทำงานเปลี่ยนไปจากเดิมที่ รพ.สต. จะเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลชุมชนในฐานะหน่วยงาน ‘แม่’ แต่เมื่อหลังถ่ายโอนย้ายตัว ‘ลูก’ เข้ามาสู่อ้อมอกของท้องถิ่น ทว่าตัวลูกเองก็ยังไม่ได้เติบโตพอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ จึงเกิดประเด็นคำถามขึ้นมาว่า ความช่วยเหลือเดิมๆ ที่เคยมี หรือการเชื่อมต่อบริการ การแบ่งปันทรัพยากร ยา ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ที่สำคัญคือโจทย์คำถามที่ตามมาว่า แล้วเราจะทำอย่างไรให้บทบาทของงานสุขภาพปฐมภูมิ ภายใต้การบริหารงานของท้องถิ่น สามารถทำได้อย่าง ‘ต่อเนื่อง’ และ ‘มีประสิทธิภาพ’ รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงและดูแลประชาชนได้ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อท้องถิ่นมีความใกล้ชิดประชาชนมากกว่า
ภญ.เนตรนภิส อธิบายอีกว่า เมื่อเข้ามามองวิเคราะห์ถึงจุดที่ระบบสุขภาพปฐมภูมิยังขาดอยู่มาก ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งคือความสามารถใน ‘การเข้าถึงบริการ’ ของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องเข้ารับบริการบ่อย ซึ่งถือเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ฯลฯ ที่จะมีอุปสรรคต่อการเดินทาง ไม่ว่าจะในเชิงของเศรษฐานะ หรือทางด้านสภาพร่างกายก็ตาม
แม้เดิมอุปสรรคเหล่านี้อาจถูกชดเชยไปได้ส่วนหนึ่ง โดยการนำบริการเข้าไปหาประชาชน ด้วยความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลชุมชนที่ร่วมส่งแพทย์มาออกตรวจในพื้นที่ แต่เมื่อการดำเนินงานด้านนี้ย้ายมาอยู่กับผู้บริหารท้องถิ่น แล้วการดำเนินการแบบนี้จะยังมีอยู่หรือไม่? หรือถ้าหากไม่มีแล้ว กลุ่มเปราะบางเหล่านี้จะเข้าถึงบริการได้อย่างไร? ท้ายที่สุดคำตอบของโจทย์นี้จึงถูกมองไปที่การนำเทคโนโลยี ‘ระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine)’ เข้ามาช่วย
“ระบบ Telemedicine จึงเข้ามาช่วยเสริมระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดยเฉพาะการทำให้กลุ่มเปราะบางเข้าถึงบริการ ไม่ว่าบทบาทของการรักษาเบื้องต้น หรือการเข้าไปสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค คัดกรองผู้ป่วย ซึ่งเราจะมีชุดเครื่องมือเพื่อให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หรือพยาบาลสามารถเข้าไปตรวจคัดกรองคนในพื้นที่ แล้วส่งข้อมูลเข้ามาที่ระบบของ รพ.สต. ซึ่งหากต้องการปรึกษากับแพทย์โรงพยาบาลชุมชนก็สามารถทำได้อย่างไร้รอยต่อ หรือหากต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลระดับที่สูงขึ้น ก็ประสานงานผ่าน Telemedicine ได้เลยเช่นกัน” ภญ.เนตรนภิส อธิบายแนวคิด
ชูปัจจัย ‘ความร่วมมือ’ สู่โครงการวิจัยเฟส ๑ - ๒
ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เธอชูขึ้นมา คือว่าการทำงานของท้องถิ่นจะสำเร็จได้นั้น ต้องมีความร่วมมือในการ ‘ทำงานร่วมกับชุมชน’ โดยในส่วนของบทบาทงานด้านสาธารณสุขคือ ท้องถิ่นจะเข้าใจในความต้องการของพื้นที่ได้อย่างไร รวมไปถึงการเข้าใจบทบาทและประสานความร่วมมือกับหน่วยบริการในระดับต่างๆ ที่มีศักยภาพสูงกว่า เช่น โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ รวมไปถึงสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ในการทำงานเชื่อมกับ รพ.สต.
ดังนั้น ภญ.เนตรนภิส สรุปว่าประเด็นของความเข้าใจและการทำงานร่วมกัน จึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่เป็นได้ทั้งอุปสรรค แต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ หากเราสามารถทำให้การทำงานยังคงเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวเหมือนอยู่ภายใต้สังกัดเดียวกันได้อยู่
พร้อมกันนี้อีกจุดสำคัญยังเป็นในส่วนของการติดตาม ว่าเมื่อภายหลัง รพ.สต. ย้ายมาอยู่กับ อบจ. แล้ว สถานการณ์นั้นดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร จึงจำเป็นต้องมีระบบการรายงานผลบริการเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำออกมา เพื่อวิเคราะห์ว่าหากถ่ายโอนแล้วมีบริการหรือคุณภาพที่แย่ลง นั่นแปลว่ามีจุดบกพร่องที่ต้องมาค้นหาและแก้ไขต่อไป แต่หากถ่ายโอนแล้วเราสามารถช่วยให้กลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงบริการได้มากขึ้น นั่นก็แปลว่าเราได้ช่วยแก้ไข ‘Pain Point’ เดิมไปได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดที่เธอเล่าออกมานี้ ส่วนหนึ่งได้ถูกสะท้อนออกมาจาก “โครงการการปรับใช้นวัตกรรมผสมผสานระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) สู่สถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ สำหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง” ซึ่ง สช. ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยจนเสร็จสิ้นไปในช่วงปี ๒๕๖๗ ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
ระยะเวลา ๑ ปีของการดำเนินงาน ทางโครงการได้พัฒนาระบบ Telemedicine ที่มีชื่อว่า “iHealthCare” ขึ้นเพื่อทดลองใช้งานในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ รพ.สต. จำนวน ๑๑ แห่งนำร่องใน จ.ลำปาง ก่อนจะรวบรวมข้อมูลและสรุปบทเรียนเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้แก่หน่วยงานต่างๆ
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาเพียงไม่มากหลังจากนำระบบที่พัฒนาขึ้น เข้ามาสู่ขั้นตอนการใช้งานจริง แต่ ภญ.เนตรนภิส ก็ได้ให้ข้อมูลถึงผลลัพธ์จากการนำไปใช้ ซึ่งพบว่าประชาชนกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงบริการได้ดีขึ้น มีความพึงพอใจมากขึ้น จากเดิมที่อาจเคยมีความรู้สึกถูกละเลย หรือไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพ ก็ได้มีการเข้าถึงกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนได้อย่างต่อเนื่อง เพราะนอกเหนือจากเรื่องของทรัพยากร หรืออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญยังเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับระบบข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งเธอมองว่ายังต้องใช้ความพยายามอีกมากในการวางรากฐานให้มากกว่านี้ เพราะหลังจากที่ดำเนินการไปแล้วก็พบว่า ระบบข้อมูลใน รพ.สต. เอง ยังต้องมีการจัดระเบียบและทำมาตรฐานข้อมูล ในลักษณะที่สามารถเชื่อมต่อกับคนอื่น เพื่อสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
นั่นคือที่มาให้นำมาสู่การขยายเฟสถัดมากับ “โครงการการต่อยอดจากระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) สู่ระบบบริการสุขภาพทางไกลบูรณาการ (Telehealth) และศูนย์นวัตกรรมการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิต้นแบบ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ลำพูน และกระบี่” ที่ดำเนินการต่อในปี ๒๕๖๘ ซึ่งครั้งนี้นอกจากจะขยายพื้นที่ดำเนินงานเพิ่มอีก ๑๐ รพ.สต. ใน อบจ.ลำปาง แล้ว ยังเป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ในอีก ๒ จังหวัด คือ อบจ.ลำพูน และ อบจ.กระบี่ ซึ่งจะดำเนินการใน รพ.สต. จังหวัดละ ๒๐ แห่งอีกด้วย
‘Telehealth’ ครอบคลุมบริการ เพิ่ม ‘ฐานข้อมูล’
ภายหลังที่ได้เห็นแล้วว่า Telemedicine สามารถช่วยแก้ Pain Point ในการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มเปราะบางได้ หากแต่บริการสุขภาพเองก็มีอีกหลายด้าน ไม่เพียงแค่การรักษาพยาบาลหรือปรึกษาด้านโรค ดังนั้นขอบเขตของโครงการที่ดำเนินงานในเฟสสองนี้ จึงได้ต่อยอดไปสู่คำว่า ระบบบริการสุขภาพทางไกลบูรณาการ (Telehealth) ที่มีการขยับขยายไปสู่บริการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “Telepharmacy” การให้คำปรึกษาด้านยา “Telerehabilitation” ให้คำแนะนำในการฟื้นฟูทางกายภาพ หรือ “Telenursing” ที่ดูแลเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค เป็นต้น
“เราพยายามขยายการดูแลในประชาชนกลุ่มต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เขากลายมาเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มเปราะบาง ส่วนกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มที่เสี่ยงแล้ว ก็จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เขาสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างยืนยาวที่สุด หรือหากป่วยก็ต้องเข้าถึงบริการรักษา” ภญ.เนตรนภิส ขมวดใจความสิ่งที่มีการเพิ่มเติมในการดำเนินงานเฟสสอง
นอกจากนี้เธอมองต่อไปถึงโจทย์ที่ยังค้างคาอยู่ นั่นคือการปรับปรุงคุณภาพระบบข้อมูลของ รพ.สต. ในส่วนที่ยังเป็นปัญหาอุปสรรค และทำให้การใช้งาน Telemedicine ยุ่งยาก เช่น ข้อมูลยา ข้อมูลภาระโรค ฯลฯ ตลอดจนการเชื่อมต่อข้อมูลกับหน่วยงานภายนอกเพื่อตอบโจทย์ในภารกิจต่างๆ
ตัวอย่างเช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำข้อมูลมาเชื่อมโยงระบบประเมินสุขภาพรายบุคคล สนับสนุนการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ของประชาชน หรือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นำข้อมูลบริการมาแสดงเป็นแดชบอร์ด เพื่อใช้วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ได้ในรายพื้นที่ ว่าประชากรป่วยเป็นโรคอะไร มีปัญหาด้านสุขภาพใด แล้วจึงนำไปจัดลำดับความสำคัญของการจัดการ หรือใช้เป็นฐานในการออกแบบนโยบายด้านสุขภาพได้
อย่างไรก็ตาม เธอยังได้เน้นน้ำหนักไปในส่วนของแดชบอร์ดข้อมูลการบริการ ที่ไม่ได้มองให้เป็นเพียง ‘Health Dashboard’ แต่ยังต้องการให้กลายเป็น ‘Health Value Dashboard’ ที่บ่งบอกถึงสถานการณ์ข้อมูลสุขภาพของประชากร อันจะนำไปสร้างคุณค่าให้กับการทำงานด้านสุขภาพได้อย่างยั่งยืน ช่วยส่งเสริมสุขภาพประชาชน และลดค่าใช้จ่ายของการรักษาพยาบาลได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ภญ.เนตรนภิส อธิบายลงรายละเอียดถึงวิธีการเก็บข้อมูลว่า ข้อมูลจากบริการ Telehealth ต่างๆ ของผู้ป่วยแต่ละคนในระบบ iHealthCare ที่โครงการฯ ออกแบบไว้ จะถูกบันทึกเป็นเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) เดียวกัน ที่วิ่งเข้าไปได้ยัง ๒ ทาง ทางหนึ่งคือวิ่งเข้าไปที่ระบบสารสนเทศ (HIS) ของ รพ.สต. เพื่อไม่ต้องทำการบันทึกซ้ำซ้อน ส่วนอีกทางจะวิ่งไปเชื่อมยังระบบคลาวด์กลางของ อบจ. เป็นศูนย์รวมข้อมูลเพื่อทำแดชบอร์ดแสดงสถานการณ์ของจังหวัด ตลอดจนสามารถใช้เป็นข้อมูลในการส่งเบิกจ่ายได้เมื่อ อบจ. มีความพร้อมในการไปขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการ
มองปัจจัยสุขภาพ ด้วยมิติที่กว้างขวางกว่าแค่ ‘โรคภัย’
ภญ.เนตรนภิส ให้มุมมองต่อการทำงานในด้านสารสนเทศระบบสุขภาพ ว่าความจริงแล้วเรื่องของ ‘เทคโนโลยี’ อาจเป็นด้านรอง หากแต่สิ่งที่เป็นด้านหลักนั้นคือเรื่อง ‘มาตรฐานข้อมูล’ ซึ่งกลายเป็นโจทย์สำคัญว่าจะต้องพยายามทำอย่างไร เพื่อให้ข้อมูลที่จะใช้ในระบบการทำงานของ รพ.สต. สามารถเชื่อมต่อกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อแบ่งปันไปใช้ประโยชน์บนมาตรฐานข้อมูลเดียวกันได้ แต่ก็แน่นอนว่าจะต้องทำความเข้าใจถึงกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลในปัจจุบัน ว่าจะมีข้อตกลงร่วมกันในการแบ่งปันหรือใช้ร่วมกันอย่างไร
ส่วนปลายทางของข้อมูลที่จะปรากฏออกมาเป็น ‘แดชบอร์ด’ สำหรับผู้บริหาร ก็จะต้องมีองค์ประกอบหลายเรื่อง ไม่เฉพาะข้อมูลสุขภาพประชากร ค่าใช้จ่ายในระบบบริการ หรือปริมาณการเข้าถึง การให้บริการต่างๆ ที่เป็นปัจจัยทางสุขภาพเท่านั้น แต่ยังจะต้องกว้างไปถึงข้อมูล ‘ปัจจัยทางสังคม’ อีกด้วย
“ในช่วงหลังเราได้คุยกันใหม่ว่า ถ้าจะทำแดชบอร์ดจริงๆ ก็ต้องศึกษาถึงปัจจัยทางด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านสุขภาพด้วย เช่น พื้นที่มีอากาศแย่ มลพิษเยอะ แม่น้ำมีสารพิษ หรือเสียชีวิตจากรถชนบ่อย ถือเป็นความเสี่ยงด้านกายภาพ ฉะนั้นจะเห็นว่าเวลาวิเคราะห์เราก็ต้องเอามิติเหล่านี้เข้ามาพูดคุยด้วย มากกว่ามุมมองการรักษาหรือส่งเสริมป้องกันโรคเพียงอย่างเดียว แต่มองถึงปัจจัยด้านอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากขึ้น” ภญ.เนตรนภิส อธิบาย
ดังนั้นเธอสรุปว่าปัจจัยที่จะทำเกิด ‘สังคมสุขภาวะ’ ได้ จึงไม่ได้หยุดอยู่แค่รูปแบบเดิมที่บอกว่าโรงพยาบาลนี้รักษาดี แล้วคนจะมีสุขภาพดี หากแต่สิ่งแวดล้อมหรือความเป็นอยู่ของผู้คนก็ต้องดีด้วย เช่น หากมีฐานะยากจนมากก็ไม่มีเงินเข้ามารักษา หรือหากมีการศึกษาไม่ดีก็อาจโดนหลอกง่าย ขาดความรู้ความเข้าใจที่จะตระหนักป้องกันสุขภาพตนเองไม่ให้ป่วย เป็นต้น
“ล่าสุดเราจึงหารือถึงการทำให้เกิด Health Value Dashboard ขึ้นใน อบจ. ที่จะเป็นข้อมูลรายงานเพื่อให้ผู้บริหารสามารถใช้ในการตัดสินใจ วางนโยบายต่างๆ แต่ก็ต้องอาศัยปัจจัยทางสังคมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้มององค์ประกอบในมิติต่างๆ ได้ครบ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นจาก รพ.สต. ก็เลยมองกันว่าข้อมูลลักษณะนี้จะไปดึงเอามาจากที่ไหน ซึ่งหลังจากนี้ก็จะต้องมีการพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ” ภญ.เนตรนภิส ทิ้งท้าย
นั่นก็เพราะการทำงานระดับชุมชน ยังมีปัจจัยที่กระทบกับสุขภาพได้มากกว่ามิติเพียงแค่โรคภัย ซึ่งหากเราไม่เข้าใจองค์รวม มองไม่เห็นถึงองค์ประกอบต่างๆ การแก้ไขปัญหาจากจุดหนึ่ง ก็จะไปติดขัดที่จุดอื่นได้อยู่ดี