เครือข่ายภาควิชาการ “HIA Consortium” ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานผลิตไฟฟ้าจากขยะ อ.มวกเหล็ก สะท้อนแนวทางดำเนินธุรกิจลดผลกระทบต่อสุขภาพ-สิ่งแวดล้อมในชุมชน พร้อมชูบทบาทภาควิชาการ ร่วมหนุนเสริมการศึกษาวิจัย กับกลไก “ไตรภาคี” เป็นตัวกลางเชื่อมประสานข้อมูล ลดทอนผลกระทบด้านสุขภาพ สร้างความเข้าใจระหว่างธุรกิจ-ชุมชน ตลอดจนขับเคลื่อนภาคประชาชนให้เข้มแข็งผ่านกลไก “CHIA” ด้านตัวแทนภาคเอกชนยอมรับ ภาคธุรกิจอาจยังติดขัดอุปสรรคการส่งต่อข้อมูลไปถึงประชาชน
13 ส.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วยศูนย์วิชาการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และภาคีเครือข่าย นำคณะนักวิชาการจากเครือข่ายสถาบันวิชาการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA Consortium) ทั้ง 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ รวมกว่า 50 คน ลงพื้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อเยี่ยมชมและศึกษาดูงานการบริหารจัดการขยะเพื่อผลิตเชื้อเพลิงทดแทน และการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อความยั่งยืนของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.) ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งภายใต้การประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ พ.ศ. 2568 (HIA FORUM 2025) “HIA กับการพัฒนาท้องถิ่นเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะที่ยั่งยืน” เพื่อให้เครือข่าย HIA Consortium ได้เรียนรู้กระบวนการการมีส่วนร่วม ได้รับประสบการณ์ และมุมมองใหม่ๆ ในการพัฒนาแนวทางการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) ที่เป็นเครื่องมือภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
รศ. ดร.นิตย์ตะยา ผาสุขพันธุ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ศึกษาดูงานของเครือข่ายคณะนักวิชาการ HIA Consortium ในครั้งนี้ เพื่อให้เห็นถึงการบริหารจัดการในการดำเนินธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของภาคเอกชนและภาครัฐ ว่ามีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีการดูแลผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างไรในทุกกระบวนการ ทั้งในแง่ของการประเมินผลกระทบต่างๆ ด้วยความร่วมมือของภาควิชาการ การคงความต่อเนื่อง รวมไปถึงเมื่อประเมินผลกระทบแล้วจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ทั้งในด้านการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่พบว่าภาคธุรกิจเอกชนเอง ก็มีการประเมินความเสี่ยงของผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับมีการติดตั้งสถานีวัดคุณภาพอากาศพร้อมแจ้งข้อมูลข่าวสารต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันภาควิชาการอาจต้องเข้ามาหนุนเสริมในด้านความต่อเนื่องของการประเมินผลกระทบ เพราะอาจมีการตกสะสมของสารพิษ หรือสารโลหะต่างๆ ที่ต้องมีการติดตามต่อไป โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของเครือข่าย HIA Consortium ในการมีส่วนร่วมติดตามตรวจสอบผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ในพื้นที่แต่ละภูมิภาค เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชน
รศ. ดร.นิตย์ตะยา กล่าวว่า บทบาทของภาควิชาการในการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของธุรกิจต่างๆ นอกจากจะเป็นในลักษณะการศึกษาหรืองานวิจัยแล้ว ในอีกด้านยังเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมในพื้นที่ ผ่านรูปแบบของคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งมองว่าเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน ในการนำข้อมูล ข้อวิตกกังวลจากประชาชนมาใช้ประกอบการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ รวมไปถึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบด้วย
“ในส่วนของพื้นที่ภาคกลาง ทางศูนย์วิชาการฯ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มธ. เป็นโหนดของภูมิภาค จึงมีแผนที่จะพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการไตรภาคี ในการที่จะผลักดันข้อมูลของภาคชุมชนที่ได้ร่วมติดตามตรวจสอบ ผ่านการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน (CHIA) เพื่อให้รายงานผลการตรวจสอบโดยภาคประชาชน เข้าไปร่วมอยู่ในรายงานประเมินผลกระทบของภาคเอกชน เพื่อนำข้อกังวลเข้าไปจัดการและลดผลกระทบที่ประชาชนมีความกังวลได้ โดยภาควิชาการจะเข้าไปสนับสนุนข้อมูล รวมถึงเครื่องมือต่างๆ” รศ. ดร.นิตย์ตะยา กล่าว
การดำเนินกิจกรรมลงพื้นที่ในครั้งนี้ ทางเครือข่าย HIA Consortium ยังได้มีการร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้บริหารของบริษัททีพีไอ โพลีนฯ ถึงประเด็นบทบาทของภาควิชาการ ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมและหนุนเสริมกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพของคนในชุมน สำหรับพื้นที่กลุ่มอุตสาหกรรมประเภทโรงงานผลิตไฟฟ้าจากขยะในแต่ละแห่ง โดยเฉพาะประเด็นการหาแสวงหากลไกหรือวิธีการสื่อสารข้อมูลผลประเมินผลกระทบทางสุขภาพ ไปยังกลุ่มเป้าหมายในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ
นายนราดล ตันจารุพันธ์ รองผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีพีไอ โพลีนฯ กล่าวว่า ทางบริษัทมีธุรกิจที่ประกอบด้วยการผลิตปูนซีเมนต์ และการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ อ.มวกเหล็ก และ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยมีเป้าหมายในการตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาด บนแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนในชุมชน ควบคู่ไปกับความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมของสังคม จึงเชื่อมโยงกลยุทธ์ขององค์กรให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ผสานแนวทาง ESG และ BCG ECONOMY พร้อมสนับสนุนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ควบคู่ไปกับลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายนราดล กล่าวว่า ปัจจุบันทางบริษัทฯ ได้เปลี่ยนกระบวนการดำเนินธุรกิจจากเดิมที่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ถ่านหิน หินปูน ที่ใช้แล้วหมดไปอีกทั้งยังสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันหันมาใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและปูนซีเมนต์ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการกำจัดขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยชุมชนลดปริมาณขยะ และลดกระบวนการกำจัดขยะของหน่วยงานอื่นๆ โดยในปี 2567 ทางบริษัทได้ลงทุนในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะปรับปรุงโรงงานผลิตไฟฟ้าให้สามารถใช้เชื้อเพลิงที่เป็นขยะชุมชนแทนถ่านหินได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงไฟฟ้าชุมชนที่ใช้เชื้อเพลิงขยะอีกหลายแห่งด้วย
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันพบว่ากระบวนการผลิตไฟฟ้าของบริษัท ก็ได้ก่อให้เกิดกากขยะอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการที่ดีย่อมนำมาซึ่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ทางบริษัทจึงมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศแบบถาวร (AQMS) ในพื้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อวัดค่าอากาศและเก็บตัวอย่างสภาพอากาศในชุมชน ซึ่งมีอยู่ 5 สถานีล้อมทุกทิศทางในชุมชน เพื่อวัดค่าฝุ่นละอองในสภาพอากาศ และยังเป็นเครื่องมือบ่งบอกสภาพอากาศให้กับคนในชุมชน เพื่อเป็นมาตรการเฝ้าระวังปัญหามลพิษในอากาศ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมในแหล่งน้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำจากอุตสาหกรรม เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำเป็นประจำ ระบบการบำบัดน้ำเสียประสิทธิภาพสูง และการฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้ทำการประเมินผลกระทบทางสุขภาพของประชาชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยประสานกับภาควิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เพื่อเก็บข้อมูลด้านสุขภาพในทุกมิติของชุมชนโดยรอบ ทั้งจำนวนหน่วยบริการ อัตราการเกิดโรคของประชาชนในชุมชน เพื่อจัดทำแผนที่เสี่ยงสุขภาพ และติดตามสภาวะสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงสุขภาพในชุมชนรอบบริษัท 14 หมู่บ้าน รวมถึงทำการสำรวจในพื้นที่โดยรอบรัศมี 5 กิโลเมตร ว่ามีประชาชนป่วยด้วยโรคต่างๆ อย่างไรบ้าง และจะใช้ข้อมูลนี้เป็นฐานสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และให้มีการศึกษาทุกปีเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลง
นายนราดล กล่าวว่า การศึกษาดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงผลกระทบต่อพืช แหล่งน้ำ แหล่งอาหารที่ชุมชนบริโภค รวมถึงที่สำคัญคือฟาร์มโคนม น้ำนมดิบ แหล่งน้ำดื่มต่างๆ เพื่อดูว่าการตกสะสมของสารโลหะหนักต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยต่อสุขภาพตามเกณฑ์ชี้วัดของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หรือไม่ โดยเป็นสิ่งที่บริษัทต้องทำเพิ่มเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน ว่าธุรกิจที่ดำเนินอยู่ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ และประชาชนในพื้นที่มีความปลอดภัยทางด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
“การที่ภาควิชาการได้เข้ามาช่วยประเมินผลกระทบทางสุขภาพต่อโครงการต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ จะมีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจต่อชุมชน รวมถึงภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ ว่ามีความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นกระบวนการที่ดีและมีประโยชน์อย่างมาก ที่อุตสาหกรรมอื่นๆ สามารถขยายโครงการ หรือแนวทางลักษณะนี้ไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้ โดยผู้ประกอบการต้องเข้าใจความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อชุมชนและสังคม แม้ว่าการดำเนินธุรกิจที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม อาจอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำได้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ยังมีปัจจัยการตกสะสมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบซ้ำๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน” นายนราดร กล่าว
นายนราดล กล่าวว่า อีกส่วนที่พยายามทำคือกลไกไตรภาคีในการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาควิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญ แต่อาจยังไม่สำเร็จเท่าที่ควรในการนำข้อมูลการประเมินไปสู่ประชาชน เพราะที่ผ่านมาทางบริษัทได้สร้างกระบวนการไตรภาคีเอง พร้อมนำตัวแทนประชาชนมาเข้าร่วม รวมถึงจัดกระบวนการทำความเข้าใจให้กับชุมชน แต่ยังติดขัดในการส่งผ่านข้อมูลไปถึงประชาชนทุกคน ซึ่งหากมีโมเดลหรือรูปแบบการจัดการที่สามารถนำผลการประเมินไปถึงประชาชนได้ ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยสร้างความเข้าใจในโครงการต่างๆ ที่กลุ่มธุรกิจดำเนินการอยู่