‘เลี้ยงเด็กหนึ่งคน ใช้คนทั้งหมู่บ้าน’ ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา ปกป้องสุขภาวะนักเรียนด้วยสถาบันทางสังคม


VIEW: 80   SHARE: 0    

 

เพราะการเกิดและเติบโตของคนเรา ไม่ได้แตกหน่อออกมาแบบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว องค์ประกอบในการเสริมสร้างขึ้นมาเป็นหนึ่งชีวิตนับตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเติบใหญ่ ล้วนแวดล้อมด้วยเหตุและปัจจัยมากมาย อุปมาดั่งชีวิตคนๆ หนึ่งเหมือนพืชใบเลี้ยงคู่ วงจรของชีวิตนั้นค่อยๆ ฟูมฟักตัวเองอย่างเชื่องช้า ขยายกิ่งก้านสาขาออกข้างเพื่อโอบรับแสงแดด มั่นคงด้วยรากแก้วที่แข็งแรง และมีกลไกป้องกันตนเองจากศัตรูพืช จึงจะยืนหยัดชีวิตในระยะยาวได้

ความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวเป็นฐานทุนสำคัญของชีวิตมนุษย์ ส่วนภูมิคุ้มกันและประสบการณ์ที่ดีที่เด็กคนหนึ่งจะได้รับมาจากสถาบันทางสังคมช่วยกันโอบอุ้มปกป้อง สถาบันทางสังคมจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเรียนรู้ 

กล่าวกันให้ถึงที่สุด แท้จริงแล้ววิถีชีวิตเช่นนี้สอดคล้องกับภาพวัยเด็กของหลายๆ ท่านที่เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ โดยเฉพาะผู้ที่เติบโตมาท่ามกลางวิถีชีวิตแบบชนบท 

ใช่หรือไม่ว่า เรารู้จักและเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับผู้คนได้ทั้งหมู่บ้าน นับตั้งแต่ปากซอยไปจนถึงปลายคุ้งน้ำ ตั้งแต่บริเวณหน้าลานวัดยาวไปจรดพื้นที่โรงเรียน มีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ทางการคุ้นเคยกันราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ มีหมออนามัย ครูใหญ่ และจ่าตำรวจในโรงพัก รวมถึงหลวงพ่อ อยู่ในชีวิตประจำวัน

โครงข่ายทางสังคมที่สัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการสอดส่องดูแลฟูมฟัก หากลูกหลานใครไปทำผิดอะไรไว้ หรือทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน จะมีระบบการเบรก ตักเตือน หรือส่งสารทางตรงด้วยการตะโกนหน้าบ้าน ฟ้องพ่อกับแม่ได้ในทันที สิ่งเหล่านี้ จึงสอดคล้องและตรงกับสุภาษิตแอฟริกาที่ใช้กันมากว่า 100 ปีว่า “เลี้ยงเด็กหนึ่งคน ใช้คนทั้งหมู่บ้าน” 

ทว่าในโลกยุคสมัยใหม่ ระบบทางเศรษฐกิจและสังคมได้หล่อหลอมให้เราเชื่อในวิธีคิดแบบปัจเจกนิยม และระบบแบ่งงานกันทำ ต่างคนต่างอยู่ในที่ทางของตนเอง เคารพในพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน ในแง่ฟังก์ชันทางสังคม ตำรวจมีหน้าที่จับโจรผู้ร้ายและรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หมอและบุคลากรทางการแพทย์ก็ทำหน้าที่ในการรักษาผู้คน ไม่ได้มีพันธกิจอันใดที่จะต้องมาเฝ้าตรวจตราเด็กและเยาวชนคนหนึ่ง เพราะหน้าที่เหล่านั้น ถูกคาดหวังให้เป็นบทบาทของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา 

ท่ามกลางความซับซ้อนของปัญหาในโลกสมัยใหม่ นับตั้งแต่เด็กและเยาวชนหนึ่งคนก้าวเท้าออกจากบ้าน สิ่งที่เขาและเธอต้องเจอคือ ร้านขายกัญชา ขายกระท่อมกลาดเกลื่อนหาซื้อได้ง่ายราวร้านสะดวกซื้อ บุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังผลิตนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้นทุกวันด้วยความเชื่อผิดๆ ที่ว่าพิษสงของมันร้ายแรงน้อยกว่าบุหรี่มวน ปัญหาจากข่าวอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุรายวันที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้คนเป็นผู้ปกครองครั้งแล้วครั้งเล่า 

ยังไม่นับรวมปัญหาเรื่องการบูลลี่ในโรงเรียนที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต ปัญหาคุณแม่วัยใส หรือแม้กระทั่งปัญหาสุดคลาสสิกตลอดกาลอย่างเรื่องภาวะการขาดแคลนโภชนาการ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าจนถึง พ.ศ.นี้ ยังมีเด็กและเยาวชนที่อยากไปโรงเรียน เพราะมีข้าวกลางวันและนมจืดให้ทานฟรี

ท่ามกลางปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาเสียยืดยาวนี้ เรากำลังฝากความหวังไว้ที่ครูอาจารย์ และโรงเรียน ให้อุดรอยรั่วของสังคมแต่เพียงลำพังอย่างนั้นหรือ ?

ไม่มากก็น้อย เชื่อว่าหน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในฐานะองค์กรที่มีบทบาทในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมทั้ง 4 มิติ ได้แก่ กาย ใจ สังคม ปัญญา เล็งเห็นถึงสถานการณ์ของปัญหาที่ไล่เรียงมาข้างต้น จึงนำเครื่องมือภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมสนับสนุนการทำงานของสถานศึกษา

เป็นผลให้เกิดการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การขับเคลื่อน “ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา” ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 2566 เพื่อจะใช้เป็นกรอบทิศทาง หรือข้อตกลงร่วมของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง รวมไปถึงหน่วยงานภายนอก ในการสร้างสุขภาพ ทั้ง 4 มิติ ให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาและชุมชน ตามกรอบธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565

หลักการสำคัญของธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา คือการกำหนดปัญหาซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้ง 4 มิติ ที่มีอยู่ร่วมกันในบริบทของสถานศึกษานั้นๆ จนนำไปสู่การวางเป้าหมาย การออกแบบแนวทาง หรือกฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน รวมไปถึงการเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไขปัญหา และร่วมกันพัฒนาเพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้สื่อสารสร้างความเข้าใจและผลักดันให้มีการนำไปปฏิบัติจริง

ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการตามธรรมนูญสุขภาพฯ ไประยะหนึ่ง จะต้องมีการติดตามประเมินผลเพื่อนำไปสู่การทบทวนและปรับปรุงใหม่ร่วมกันได้เสมอ หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไป

จุดเด่นของธรรมนูญสถานศึกษา คือความยืดหยุ่นในการให้ความสำคัญกับความต้องการ และบริบทของพื้นที่นั้นๆ เป็นสำคัญ ในการเลือกวาระขึ้นมาเพื่อพิจารณาเป็นระเบียบที่จะใช้ร่วมกัน สิ่งที่สำคัญคือกฎเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นครู อาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชนโดยรอบ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

 

 

นัยหนึ่งของธรรมนูญสุขภาพฯ นอกจากจะถูกใช้เป็นกฎกติการ่วมกันแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการสานพลัง และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เมื่อทุกคนรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบกฎกติกา จึงสร้างความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ การเคารพและปฏิบัติต่อระเบียบเหล่านั้นจึงจะตามมา ทั้งยังช่วยกันเป็นหูเป็นตาตรวจตราผู้ฝ่าฝืนกฎเหล่านั้นด้วย

 

นับตั้งแต่มีการเซ็น MOU ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ มาจนถึงวันนี้ ได้มีความคืบหน้าของการดำเนินงานมาเป็นลำดับ อาทิ การจัดทำคู่มือให้สถานศึกษาต่างๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบสุขภาพของสถานศึกษาได้ตามบริบทและความเหมาะสม การเสริมศักยภาพแกนนำขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพฯ ในสถานศึกษานำร่อง รวม ๔ ภาค มีสถานศึกษาและหน่วยงานภายใต้ ศธ. เข้าร่วมกว่า 143 แห่ง

ทว่าภารกิจต่างๆ ยังไม่สิ้นสุดลง เพราะ สช. มีแผนและกรอบระยะเวลาการดำเนินการขับเคลื่อนถึง 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2566–2570 ณ เวลานี้ถือว่าได้เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว และภารกิจของ สช. ในปี 2568 ก็คือการสนับสนุนการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาให้มากขึ้น ก่อนที่จะขยายผลให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในปีถัดไป

มีกรณีตัวอย่างที่น่าศึกษาเพื่อใช้เป็นต้นแบบในการสร้างธรรมนูญสถานศึกษาหลายพื้นที่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือการประกาศใช้ ‘ธรรมนูญปัจจัยเสี่ยงด้านอบายมุขและสารเสพติดรอบสถานศึกษา’ ของโรงเรียนสภาราชินี จ.ตรัง เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567ซึ่งผู้ที่เป็นแกนนำหลักในการขับเคลื่อนคือประธานและแกนนำคณะกรรมการสภานักเรียน

ผ่านไปเพียงแค่ 1 ภาคเรียนเท่านั้น สามารถทำให้การตรวจพบการใช้สารเสพติดของนักเรียนทุกระดับชั้น ลดลงจาก 32 คน เหลือเพียง 3 คน

นอกจากนี้ ยังมี ‘ธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและควบคุมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลเขลางค์รัตน์อนุสรณ์ พ.ศ. 2567’ ในพื้นที่ จ.ลำปาง และจะมีการขยายไปยังโรงเรียนในเครือข่ายอีกกว่า 30 แห่ง หรือ ธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนสุขภาวะ 5 อ. (อาหาร, ออกกำลังกาย, อารมณ์, อดิเรก, อนามัย) สู่มาตรฐานสากล ต.เขาพัง อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี ที่เกิดจากการขับเคลื่อนของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเขาพัง (รพ.สต.เขาพัง) เป็นแกนหลักในการสร้างความร่วมมือกับเทศบาลตำบลบ้านเชี่ยวหลาน ในการที่จะผลักดันให้โรงเรียนในพื้นที่มีสุขภาวะที่ดี

ไม่นับรวมว่ายังมีโรงเรียนอีกไม่น้อยที่กำลังอยู่ในกระบวนการจัดทำธรรมนูญสุขภาพ ตามสภาพและบริบทปัญหาของตนเอง อย่างเช่น โรงเรียนศึกษานารี ซึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ขณะนี้มีการพูดกันถึงการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตอันเกิดจากการบูลลี่กันภายในโรงเรียน กับเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น

หลากหลายความท้าทายภายในสถานศึกษาที่จะส่งผลต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งยังคงต้องร่วมกันสานพลังจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

การเลี้ยงเด็กหนึ่งคนต้องใช้คนทั้งหมู่บ้านฉันใด การดูแลเด็กนักเรียนในสถานศึกษา ก็คงต้องใช้ความเข้มแข็งจากทุกภาคส่วนของสังคมฉันนั้น

 

 

NHCO Q&A