“ความฝันของผมตั้งแต่เด็ก คือผมอยากจะเป็นนายกฯ”
“ตอนเด็กๆ ครูถาม ผมก็ตอบไปแบบนี้ ครูถามต่อว่า แล้วเธอต้องเรียนจบอะไร? ผมบอกว่า จบอะไรก็ได้ครับ เพราะเป็นฝ่ายบริหาร แต่อาจจะไม่ได้หมายถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีนะ แต่ผมอยากจะเป็นผู้บริหาร”
ถ้อยคำที่สะท้อนแนวคิด และหมุดหมายในชีวิตของผู้ชายที่ชื่อ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ได้เป็นอย่างดี รสชาติเส้นทางในชีวิตของเขาค่อนข้างครบเครื่องและเข้มข้น ทั้งการเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย เคยเป็นประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ด้วยวัยเพียงแค่ 32 ปี เป็นนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดศรีสะเกษ
รวมไปถึงการเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังอินดี้ที่ก่อกำเนิดปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการภาพยนต์ไทยอย่าง ไทบ้าน เดอะซีรีส์ ปัจจุบันนี้ เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) บรรทัดต่อจากนี้ คือบทสนทนาที่จะพูดถึงทิศทางและย่างก้าวของบทบาทใหม่ในชีวิตเขา
Q : รู้สึกอย่างไรบ้างกับการพลิกบทบาทตัวเอง มาทำหน้าที่ในการดูแลระบบการศึกษาของชาติ ?
เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ที่สนุกมากครับ
มันสนุกตรงที่หลายอย่างที่เราคิด มันได้กลายเป็นนโยบาย ยกตัวอย่างเรื่องง่ายที่สุด วันหนึ่งมีเด็ก ม.๖ มาถามผมว่า ทำไมสอบ TCAS (ระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา) แล้วต้องเก็บเงิน มันไม่เป็นความเหลื่อมล้ำเหรอ? คือคนที่มีเงินมากก็เลือกคณะได้เยอะกว่า? ผมก็เอาปัญหานี้ไปคุยกับรัฐมนตรี อว. (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) ตอนนี้การสอบ TCAS ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแล้ว
อีกหนึ่งคำถามที่เขาถามผม คือ หนูกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ทำไมหนูยังต้องมานั่งทำการบ้านที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่หนูจะสอบ หลังจากนั้น ศธ. ก็ได้ออกประกาศหยุดเรียนให้เด็กได้อ่านหนังสือเลย และมีการจัดติวออนไลน์ให้ฟรีด้วย สำหรับเด็กที่ไม่มีโอกาสติว เพราะฐานะลำบาก สิ่งเหล่านี้เราทำมา 2 ปีแล้ว
Q : คิดว่าอะไรคือโจทย์ และความท้าทายของระบบการศึกษาไทยในวันนี้ ?
ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย และน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี เพราะการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาครั้งแรกๆ ที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็น่าจะประมาณช่วง 50–60 ปีก่อน ครั้งนี้ก็จะเป็นอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่านิยม ความเชื่อ จากเมื่อก่อนที่พ่อ แม่ หรือครู สามารถตีเด็กเพื่อทำโทษ หรือใช้คำพูดทำร้ายจิตใจ บูลลี่ให้เกิดความอับอาย เพื่อหวังให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นการพูดให้กำลังใจ ชื่นชม สร้างพลังเชิงบวก รวมไปถึงการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาทดแทนการสอน ไหนจะปัญหาต่างๆ ที่รุกคืบ ทั้งเรื่องยาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา เด็กติดเกม เด็กไม่มีความรู้เรื่องการเงิน ฯลฯ”
Q : ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในสังคม ถนนทุกสายจะพุ่งตรงมาที่กระทรวงศึกษาธิการก่อนเป็นอันดับแรก ?
ใช่ครับ ทุกอย่างถูกตั้งความหวังไว้ที่ ศธ. หมด ซึ่งเราก็พยายามหาหนทางแก้ไข ปรับปรุง ทั้งภายในตนเอง และร่วมบูรณาการทำงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อหามาตรการ กลไก ที่จะเข้ามาพัฒนาระบบการศึกษาให้ดีขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือการทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เพื่อผลักดันการใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า ‘ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา’
Q : เครื่องมือนี้จะเข้ามาแก้ไขปัญหาของระบบการศึกษาอย่างไร ?
อย่างที่บอกว่า ทุกคนฝากความหวังไว้ที่ ศธ. การดูแลเด็กคนหนึ่งจึงไม่ใช่แค่การให้ความรู้อย่างเดียว ในยุคปัจจุบันถ้าเด็กร้องไห้มาโรงเรียน เราต้องหาคำตอบ ว่าทำไมเด็กถึงร้องไห้ ไม่มีความสุขตรงไหน? แนวทางมันเปลี่ยนไป เราต้องให้ความสำคัญกับสุขภาวะทั้ง 4 มิติ (กาย ใจ สังคม ปัญญา) มากขึ้น ซึ่งท่าน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบหมายให้ผมดูแลเรื่องนี้
Q : ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา จะเข้ามาช่วยหนุนเสริมการทำงานของบุคลากรในสถานศึกษาอย่างไรบ้าง ?
ปัญหาอย่างหนึ่งที่เราเจอในระบบราชการก็คือ ผู้บริหารสถานศึกษามาแล้วก็ไป ดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน ท่านก็ต้องย้ายไปตามความก้าวหน้า หรือบางคนมาอยู่ได้ไม่นานก็เกษียณ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกับความต่อเนื่องของทิศทางและนโยบายในการพัฒนาโรงเรียน ซึ่งสำหรับโรงเรียนที่มีอัตลักษณ์ มีจิตวิญญาณ หรือคุณค่าเป็นของตนเองชัด อันนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะไม่ว่าผู้บริหารจะเปลี่ยนไปกี่คน เขาก็จะดำเนินไปตามแนวทางที่ได้วางรากฐานกันไว้และสืบเนื่องต่อไป
แต่โรงเรียนที่มีอัตลักษณ์ไม่ชัดจะเปลี่ยนไปตามผู้บริหาร การทำธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้รู้ว่าโรงเรียนนี้มีหลักคิดร่วมกันระหว่างผู้บริหาร ครูอาจารย์ คณะกรรมการสถานศึกษา เด็กนักเรียน หรือกระทั่งหน่วยงานภายนอกที่อยู่รอบๆ พื้นที่อย่างไรบ้าง อันนี้คืออย่างที่หนึ่ง
อย่างที่สอง คือสิ่งที่ระบุลงไปในธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา ก็เปรียบเสมือนกฎหมาย ที่จะเป็นเกราะกำบังให้กับคุณครู หรือคนที่ตั้งใจจะดำเนินตามแนวทางที่วางไว้ เพราะแน่นอนว่าเมื่อมีกฎ กติกา ก็ย่อมมีคนที่ทั้งพอใจและไม่พอใจ และบางอย่างก็จำเป็นต้องกระทบกับสิทธิส่วนบุคคล แต่เมื่อเป็นสิ่งที่ตกลงกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่มีร่วมกัน เพื่อผลประโยชน์โดยรวม และมีเหตุผล ก็จำเป็นต้องทำ
ยกตัวอย่างเช่น บางโรงเรียนที่มีเด็กเล็ก โรงเรียนอาจจะกำหนดว่าเด็กต้องตัดผมสั้น แล้วเดี๋ยวก็จะมีคำถามมาว่า แล้วทำไมต้องตัดผมสั้น? ถ้าเรามีเหตุผลและตอบให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ได้ คือ เด็กเล็กมีความสามารถในการดูแลร่างกายตัวเองน้อย ภูมิคุ้มกันส่วนตัวต่ำ มีโอกาสเกิดโรคติดต่ออย่างโรคผิวหนังได้ง่าย อะไรแบบนี้ คุณก็ระบุไปในธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา หรือแม้แต่ในระบบของโรงเรียนประจำ ที่อาจจะต้องมีการตรวจตู้ล็อกเกอร์ เพราะมันอาจจะมีของผิดสำแดง หรือต้องดูเรื่องความสะอาดของเด็ก ซึ่งแน่นอนว่ามันกระทบกับสิทธิส่วนบุคคล แล้วจะทำอย่างไร? นี่คือเหตุผลที่ต้องมีธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา
Q : หลังจากมีนโยบายออกไป ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง ?
จากที่ดูในสถานศึกษา เขาค่อนข้างจะตื่นตัวกันนะ ซึ่งหลายๆ โรงเรียนมีผู้อำนวยการ (ผอ.) ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็น ผอ.ใหม่ ในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไม่เคยมีโอกาสได้ทำ ไม่เคยรู้เลยว่ามันมีสิ่งนี้ได้ด้วยเหรอ แต่ก็ต้องยอมรับนะว่ามันเป็นปีแรก ในแง่การขับเคลื่อนมันก็อาจจะยังช้าอยู่ เพราะมันเป็นไปด้วยความสมัครใจ
Q : ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียนเลย ว่าจะใช้เครื่องมือนี้หรือไม่ ?
ใช่ คือเราไม่ได้บังคับเลย และเราก็พูดคุยกันว่า ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา เราไม่อยากให้มันเป็นสูตร ว่าต้องลอกกันมา ก๊อบปี้กันมา เราอยากจะให้แต่ละพื้นที่ แต่ละแห่ง เขียนออกมาตามความต้องการของโรงเรียน และชุมชนจริงๆ และในอนาคตหากมีการเปลี่ยนผู้บริหาร หรือมีสถานการณ์ใหม่ จะดำเนินการทบทวนปรับปรุงก็ทำได้
Q : หลังจากนี้ จะขับเคลื่อนเรื่องธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา กับ สช. ต่อไปอย่างไร ?
จริงๆ ในฝ่ายบริหารนโยบายอย่างพวกเราก็มองกันว่า จะต้องมีเรื่องหนึ่งที่หยิบขึ้นมาดูด้วย คือเรื่องการบริหารความสุขในสถานศึกษา มาใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกผู้บริหารโรงเรียนต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา ก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ชี้วัดได้ว่าผู้บริหารคนนั้นได้ให้ความสำคัญกับสุขภาวะทั้งทางกายและใจกับเด็กหรือไม่ ในช่วงแรกๆ ของการขับเคลื่อนก็นำร่องอยู่ไม่กี่ที่ หลังจากนั้นก็ขยายไปตามภูมิภาคต่างๆ และต่อไปเราก็คงจะหาตัวอย่างสถานศึกษาที่ทำเรื่องนี้ได้ดี (Best Practice) ในแต่ละภาคมาเป็นแนวทางให้ที่อื่นๆ แล้วก็ขยายผลต่อ
Q : แน่นอนว่า มันคงต้องเป็นงานระยะยาว ?
ใช่ ทำไปเรื่อยๆ ไม่จบง่ายหรอก มีโรงเรียนตั้งสองหมื่นกว่าโรง
นี่คือบางช่วงบางตอนของบทสนทนาในช่วงสายๆ ค่อนเที่ยง ณ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมอง และความเอาจริงเอาจังของกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านคำบอกเล่าของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ในการขับเคลื่อนเรื่องธรรมนูญสุขภาพในสถานศึกษา ด้วยเชื่อว่าจะเป็นกลไกสำคัญอีกหนึ่งกลไก ที่จะช่วยพัฒนาระบบการศึกษา การดูแลสุขภาวะของเด็กและเยาวชนทั้ง 4 มิติ
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่การเพิ่มภาระงานให้ แต่จะเป็นเครื่องมือหนุนเสริมครูและบุคลากรในโรงเรียน ให้สามารถทำงานเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น