วันแม่

หน่วยงานท้องถิ่นร่วมชู ‘HIA’ เครื่องมือสำคัญจัดการ ‘ขยะชุมชน’ มุ่งแก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่ต้นทาง


VIEW: 114   SHARE: 0     16-08-2025
เผยแพร่โดย: 
by
 กลุ่มงานสื่อสารสังคม

 

ตัวแทนผู้บริหาร อปท. ร่วมเวที “HIA Forum 2025” ถ่ายทอดประสบการณ์ใช้เครื่องมือ “HIA” ในการจัดการแก้ไขปัญหา “ขยะชุมชน” ชี้สิ่งสำคัญอยู่ที่การสร้างความเข้าใจประชาชน ร่วมตระหนักถึงผลกระทบทางสุขภาพ พร้อมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ได้เข้ามารับรู้-เสนอแนะแนวทางป้องกัน ด้านภาคีร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เดินหน้าขับเคลื่อน HIA ในท้องถิ่นเพื่อจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืน

15 ส.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “ท้องถิ่นใช้ HIA ช่วยจัดการขยะชุมชน ได้อย่างไร” ภายในเวทีการประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ พ.ศ. 2568 (HIA FORUM 2025) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กับการใช้เครื่องมือการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ในการจัดการกับขยะชุมชน

 

นายวิเชษฐ จินานุรักษ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลเชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า HIA ถือเป็นกระบวนการที่มีหลักคิดสำคัญในการป้องกันก่อนเกิดปัญหา ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วจึงไปแก้ไข ทางเทศบาลฯ จึงได้มีการประยุกต์ใช้ HIA ในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการขยะชุมชน การแก้ไขกรณีเหตุร้องเรียนรำคาญ รวมไปถึงการจัดการกับกฎหมายของท้องถิ่น นั่นคือการประเมินผลกระทบเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงระเบียบหรือเทศบัญญัติ

นายวิเชษฐ กล่าวว่า เดิมในอดีต ต.เชียงรากน้อย เคยมีปัญหาบ่อขยะในพื้นที่ขนาดกว่า 35 ไร่ ที่เปิดใช้งานมาเป็นเวลากว่า 20 ปี มีปริมาณขยะรวมกว่า 7.8 หมื่นตัน โดยในปี 2558 เริ่มพบปัญหามลพิษที่ส่งผลกระทบโดยรอบพื้นที่ แต่มีความยากของปัญหาเนื่องจากเจ้าของบ่อขยะเป็นนักการเมืองที่เป็นผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมตามกฎหมาย ทว่ากลับเป็นผู้ก่อมลพิษเสียเอง ในช่วงนั้นแนวทางแก้ไขจึงได้เริ่มแสวงหาภาคีเครือข่าย เริ่มจากภาควิชาการคือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเข้ามาช่วยเก็บตัวอย่างข้าวบริเวณพื้นที่ เพื่อตรวจสอบหาสารพิษ ก่อนที่จะทำการคืนข้อมูลสู่ชุมชนได้รับทราบถึงสถานการณ์ นำมาสู่การผลักดันเรียกร้องต่อสู้กับผู้มีอำนาจ จนในที่สุดสามารถเพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบการรายนี้ได้สำเร็จ

“การสร้างส่วนร่วมกับประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ โดยวิธีคิดเราใช้กระบวนการ HIA เข้าไปพิสูจน์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง จนพบว่ามีโลหะหนักเข้าไปปนเปื้อนถึงในเมล็ดข้าว เมื่อประชาชนรับรู้ปัญหา และร่วมกับท้องถิ่นในการวางเป้าหมาย เรื่องแรกคือบ่อขยะนี้ต้องถูกปิด ถัดมาคือจัดการขยะโดยเปลี่ยนไปเป็นพลังงานไฟฟ้า อีกส่วนคือการออกเทศบัญญัติเพื่อควบคุมกิจกรรมของผู้ประกอบการที่จะเข้ามาดำเนินการในพื้นที่” นายวิเชษฐ กล่าว

นายวิเชษฐ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในพื้นที่ยังส่งเสริมกิจกรรมการลดขยะ การคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง มีกลุ่มกิจการรับซื้อของเก่า จนปัจจุบันพื้นที่ได้กลายเป็นตำบลเดียวของอยุธยา ที่สามารถจัดการขยะได้ทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง และรับขยะจากพื้นที่ข้างเคียงเข้ามาจัดการด้วย ทำให้เห็นว่าการจัดการขยะไม่ใช่การเปลี่ยนจิตสำนึกอย่างเดียว แต่ต้องมีการปรับปรุงกฎหมาย ออกเทศบัญญัติ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดเป็นผลที่เกิดขึ้นมาได้จากการทำ HIA

 

นายบรรหาญ เนาวรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู (อบต.โก่งธนู) อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี กล่าวว่า ทาง อบต.โก่งธนู มีการรณรงค์ประชาชนในพื้นที่ให้ร่วมจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง โดยมีวิธีการคัดแยกที่ชัดเจน เช่น ขยะเปียกมีการนำไปทำเป็นปุ๋ยใส่แปลงผัก ขยะแห้งนำไปบริหารจัดการอย่างถูกวิธี จนพื้นที่สามารถสร้างสวัสดิการให้กับประชาชนได้เป็นจำนวนหลายสิบล้าน ด้วยเงินที่ได้มาจากการบริหารจัดการขยะที่ดี เนื่องจากพื้นที่ อบต. ไม่ต้องมีถังขยะ ไม่ต้องมีรถจัดเก็บขยะ แต่สามารถจัดการได้ด้วยความร่วมมือ

“การจะทำเรื่องนี้สำเร็จต้องเริ่มต้นจากตัวเรา เพราะขยะเกิดจากเรา ซึ่งเรามีวิธีการสร้างความเข้าใจจนประชาชนในพื้นที่ทั้ง 1,320 ครัวเรือนมีความร่วมมือ อีกทั้งเรายังมีเมล็ดพันธุ์ที่ดี ไม่ว่าฝ่ายบริหาร หรือราชการ ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือช่วยเหลือกัน” นายบรรหาญ กล่าว

 

นางแสงจันทร์ ระวังกิจ ปลัด อบต.โก่งธนู กล่าวว่า ทาง อบต. ได้มองเป้าหมายที่ต้องบริหารจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เพราะหากไม่เช่นนั้นคงเดินไปสู่จุดที่เป็นปัญหาแบบเดียวกับท้องถิ่นอื่น จึงเดินหน้าทำความเข้าใจกับประชาชน พร้อมใช้พลังการทำงานของท้องถิ่น บนหลักง่ายๆ คือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการพึ่งพาตนเอง โดยประชาชนทั้ง 1,320 หลังคาเรือน ทุกคนให้คำมั่นร่วมกันว่าจะคัดแยกขยะตลอดชีวิต นำมาสู่การกำหนดกติกาผ่านธรรมนูญสุขภาพ และเป็นกรอบการทำงานของ อบต.

นางแสงจันทร์ กล่าวว่า เมื่อทุกคนร่วมใจกันคัดแยกขยะทุกบ้าน ขยะในพื้นที่ก็มีจำนวนน้อยลง ขยะเปียกถูกนำไปฝังดินกลายเป็นปุ๋ยที่ใช้ปลูกผักกินเอง มีผักปลอดภัยทานฟรีทั้งตำบล คำนวณว่าช่วยประหยัดเงินครัวเรือนได้ถึงปีละกว่า 23 ล้านบาท ส่วนขยะแห้งในตำบล มีการทำธนาคารขยะครบทั้ง 14 หมู่บ้าน โดยไม่มีบ้านใดขาดการนำฝากขยะเข้าธนาคารแม้แต่เดือนเดียว เพราะเมื่อเขาเสียชีวิตจะได้รับเงินสวัสดิการส่วนนี้รายละ 85,000 บาท เหล่านี้คือตัวอย่างจากการนำขยะไปทำให้เกิดประโยชน์ตั้งแต่ต้นทาง แทนที่จะไปกลายเป็นภูเขาขยะที่ไร้ค่าแบบในหลายพื้นที่

“ทำไมทุกคนยอมทำ เพราะเราไปเคาะบ้าน เข้าถึงแต่ละครัวเรือน ทำให้เขารับรู้ว่าเราจะทำแบบเทศบาลอื่นก็ได้ เรามีเงินสะสม แต่ก็ต้องเอามาเสียกับค่ารถเก็บขยะ ค่าบุคลากร ค่าที่ทิ้งขยะปีละ 6.6 ล้านบาท แต่ถ้าทำแบบนี้เราไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับการจัดการ แล้วเราเอาเงินที่ไม่ต้องเสียตรงนี้มาคืนให้ประชาชนทั้งหมดในทุกปี ให้เขาเลือกได้ว่าอยากจะเอาเงินนี้ไปทำอะไรตามใจเขา แล้วไปใส่อยู่ในแผนให้เลย ในพื้นที่เราจึงมีทั้งถนน หรือสาธารณูปโภคต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่ทุกคนช่วยกันจัดการขยะ” นางแสงจันทร์ กล่าว

 

ด้าน นายประโชติ กราบกราน หัวหน้ากลุ่มจัดการมูลฝอยและสุขาภิบาล สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กล่าวว่า ข้อมูลที่น่ากังวลคือ ประเทศไทยมีสถานที่กำจัดขยะที่จัดการได้แบบถูกต้องจำนวนน้อยมากเพียงหลักร้อยเท่านั้น แต่ที่ยังจัดการไม่ถูกต้องมีถึงเกือบ 2,000 แห่ง จึงเกิดสภาพปัญหาของผลกระทบที่มีประชาชนร้องเรียนเรื่องของมลพิษต่างๆ มากมาย จึงมองว่าควรจะมีทางออกโดยใช้กระบวนการ HIA เข้ามามีส่วนช่วยในการจัดการได้มากกว่านี้

“ภาพที่ทุกคนชินตาของผลกระทบจากการจัดการไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นน้ำเน่าเสีย กลิ่นเหม็น เหล่านี้เป็นเพียงการแสดงให้เห็นทางกายภาพ แต่ลึกลงไปว่าก่อให้เกิดผลกระทบกับสุขภาพอนามัยประชาชนอย่างไรบ้าง พวกนี้ไม่ค่อยได้มีการวิเคราะห์พิสูจน์ เพื่อฉายภาพให้เห็นถึงผลกระทบ แม้เราจะมีกฎหมายต่างๆ ที่บอกให้ต้องมีการจัดการ แต่ผลที่ผ่านมาเราก็จะเห็นถึงข้อจำกัดในการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐาน การควบคุมกำกับยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก ซึ่งถ้าเรามีกระบวนการ HIA เข้ามาเกี่ยวข้อง จะช่วยทำให้มีการดูแลตั้งแต่ก่อนเกิดปัญหา ไม่ใช่เกิดแล้วค่อยแก้ปัญหา” นายประโชติ กล่าว

นายประโชติ กล่าวว่า สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในการจัดการขยะ ไม่ว่าจะเป็นระบบฝังกลบหรือเตาเผา ซึ่งบอกว่าจะต้องผ่านการประชาพิจารณ์ก่อน แต่ที่ผ่านมาก็มักอาศัยเทคนิค ไม่ได้ผ่านการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามารับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ว่าเขามีโอกาสได้รับผลกระทบอะไร มีมาตรการป้องกันแก้ไขอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกระบวนการ HIA ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีโอกาสเข้ามาร่วมรับรู้ และนำเสนอแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้น

อนึ่ง ภายหลังการเสวนา นายบรรหาญ เนาวรัตน์ ยังได้เป็นตัวแทนในการประกาศเจตนารมณ์ เรื่อง “การขับเคลื่อนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพในระดับท้องถิ่น เพื่อการจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืน” โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อ 1. สร้างความเข้าใจและเสริมสร้างศักยภาพ ให้กับ อปท. และภาคประชาชนในการประเมินและจัดการผลกระทบจากขยะอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 2. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการวางแผนและดำเนินการจัดการขยะ โดยคำนึงถึงสุขภาวะของประชาชน ความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และความยั่งยืนในระยะยาว 3. ขับเคลื่อนการใช้นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ (Healthy Public Policy) ในการบริหารจัดการขยะอย่างมีส่วนร่วม สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

ทั้งนี้ มีแนวทางการดำเนินงานตามเจตนารมณ์ ประกอบด้วย การพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ เกี่ยวกับ HIA ให้แก่เจ้าหน้าที่ อปท. ผู้นำชุมชน และประชาชน, จัดทำแนวทางการบูรณาการ HIA เข้าสู่แผนงาน/โครงการด้านการจัดการขยะในระดับพื้นที่ รวมถึงสนับสนุนการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง, สร้างและขยายเครือข่ายความร่วมมือเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอนของกระบวนการ HIA ตั้งแต่การตั้งคำถาม การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ผลกระทบ การเสนอแนวทางจัดการ ไปจนถึงการติดตามประเมินผล, สนับสนุนการกำหนดนโยบายหรือมาตรการสาธารณะ ที่มีหลักฐานรองรับจากกระบวนการ HIA เพื่อนำไปสู่การจัดการขยะชุมชนอย่างมีส่วนร่วม เป็นธรรม และยั่งยืน

 

NHCO Q&A