วันแม่

นำร่อง ‘นครปฐม’ ต้นแบบลด ‘NCDs’ ‘อนุชา’ ผุดสายตรวจในโรงเรียน ให้ นร.แจ้งหากพบอาหาร ‘หวาน มัน เค็ม’


VIEW: 63   SHARE: 0     13-08-2025
เผยแพร่โดย: 
by
 กลุ่มงานสื่อสารสังคม

 

 

“รมช.อนุชา” เป็นประธานการลงนามความร่วมมือ “ลดโรคไม่ติดต่อ NCDs” ภายในสถานศึกษา จ.นครปฐม มุ่งดึงพลังเด็ก-เยาวชนกว่า 1.2 แสนชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม-ลดปัจจัยเสี่ยง หวังปลูกฝังจากรั้วโรงเรียนก่อนถ่ายทอดสู่ครอบครัว เผยเตรียมคัดเลือกนักเรียนแต่งตั้งเป็น ‘สายตรวจ NCDs’ คอยสอดส่องอาหารภายในโรงเรียน พร้อมแจ้งเมื่อมี “หวาน มัน เค็ม” มากเกิน

 

13.. 2568 นายอนุชา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และรองประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือในการพัฒนาระบบสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ด้วยธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษาพื้นที่ จังหวัดนครปฐม ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาภายในจังหวัด ณ โรงเรียนราชินีบูรณะ (เทพผดุงพร) อ.เมือง จ.นครปฐม

สำหรับ MOU ดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการสานพลังสถานศึกษาในพื้นที่ จ.นครปฐม เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ ปรับพฤติกรรม ลดปัจจัยเสี่ยงจากโรค NCDs อย่างยั่งยืน ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ภายใต้นโยบายคนไทยห่างไกล NCDs ของ สธ. รวมไปถึงกรอบทิศทางนโยบายของ สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วย การสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคม เพื่อลดโรคไม่ติดต่อ และธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565

นายอนุชา เปิดเผยว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญของโรค NCDs มาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ในวันนี้จึงจะมุ่งเป้ามายังสถานศึกษาเป็นพื้นที่สำคัญของการเริ่มต้นปลูกฝังพฤติกรรมการลดปัจจัยเสี่ยงเพื่อลดโรค NCDs ซึ่งเชื่อว่าโรงเรียนราชินีบูรณะ รวมถึงเด็กและเยาวชนกว่า 1.2 แสนชีวิตใน จ.นครปฐม จะเป็นพลังสำคัญของการขับเคลื่อนและสามารถเป็นต้นแบบเพื่อขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไปได้

“เราปรารถนาอยากให้เยาวชนเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้โรค NCDs หายไป หรือลดลงเหลือให้น้อยที่สุด โดยเริ่มจากครัวของเราคืออาหารในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม อาหารในโรงเรียนเราก็คงเคร่งได้เพียงมื้อเที่ยงมื้อเดียวเท่านั้น แต่อีกสองมื้อนั้นไปตกอยู่ที่บ้าน คือตอนเช้าและตอนเย็น รวมถึงพฤติกรรมการกินจุบจิบที่อาจไม่ตระหนักถึงโรคภัย ดังนั้นเราจึงมีความมุ่งมั่นที่จะปลูกฝังให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีความตระหนักรู้ แล้วนำสิ่งเหล่านี้ไปเผยแพร่ ไปแนะนำให้กับผู้ปกครองและครอบครัว เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่ทิศทางที่ดีต่อสุขภาพ” รมช.สธ. กล่าว

 

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้อำนวยทุกโรงเรียน รวมถึงผู้อำนวยการเขตการศึกษาทุกเขตใน จ.นครปฐม ในการร่วมกันดำเนินการเพื่อปกป้องเยาวชนไม่ให้เจ็บป่วยจากโรค NCDs โดยจะมีการคัดเลือกนักเรียนในทุกโรงเรียนขึ้นมาเป็น สายตรวจ NCDs’ คอยทำหน้าที่สอดส่องสำรวจอาหารภายในโรงเรียน ว่ามีร้านไหน หวาน มัน เค็ม มากเกินไปหรือไม่ แล้วให้รายงานมาที่ นายศุภโชค ศรีสุขจร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จ.นครปฐม ซึ่งตนจะแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสายตรวจ NCDs ร่วมเป็นเครือข่ายที่จะปกป้องสุขภาพเยาวชน และหวังที่จะเป็นโมเดลขับเคลื่อนไปทั่วประเทศต่อไป

 

ขณะที่ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องของสุขภาพสามารถส่งผลกระทบกับการศึกษาได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวนักเรียนเอง หากมีสุขภาพที่ไม่ดีคงจะทำผลการเรียนให้ดีได้ลำบาก หรือหากสุขภาพของพ่อ แม่ ผู้ปกครองไม่ดี กระทบเศรษฐกิจรายได้ ก็ส่งผลมาถึงการศึกษาของลูกได้ด้วยเช่นกัน และแม้ประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษา แต่ค่าเดินทางหรือการที่ต้องสูญเสียรายได้ไปก็เป็นผลกระทบไม่น้อย ดังนั้นหลักการสำคัญก่อนที่ต้องรักษา จึงเป็นการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคเพื่อให้เกิดโอกาสป่วยได้น้อยที่สุด

นพ.สุเทพ กล่าวว่า พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 จึงเกิดขึ้นจากฐานคิดของการสร้างนำซ่อม โดยระบบสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การจัดบริการ แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นสังคมดี สิ่งแวดล้อมดี หรือการมีนโยบายที่ดี ดังนั้นหน่วยงาน สช. จึงเป็นกลไกในการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนมิติต่างๆ ให้คนมีสุขภาพที่ดี หนึ่งในนั้นคือการร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา เป็นข้อตกลงร่วมกันเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อสุขภาพเด็กและเยาวชนภายในโรงเรียนหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิต การบูลลี่ หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น

“โรค NCDs ซึ่งเป็นเรื่องของพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม จึงเป็นงานที่ทำคนเดียวไม่สำเร็จ แต่ต้องมาร่วมกันทำเป็นหมู่คณะ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และจุดตั้งต้นของเรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ที่โรงพยาบาล เราจะไปรอให้คนอายุมากแล้วมาแก้ก็คงไม่ทัน ดังนั้นจุดสำคัญคือครอบครัว และโรงเรียน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ให้เคยชินกับการทานที่ไม่ติดรสหวาน มัน เค็ม พวกนี้ลิ้นเราปรับได้แต่อาจต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งโรงเรียนจะเป็นที่ที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้” นพ.สุเทพ กล่าว

 

 

ด้าน นพ.สุรชัย โชคครรชิตไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม กล่าวว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนใน จ.นครปฐม ค่อนข้างติดรสหวาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นตั้งแต่ประโยคแรกในคำขวัญประจำจังหวัด โดยการทานหวานมักเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเป็นโรค NCDs ที่ส่วนใหญ่จะมีลำดับไล่ไปจากการเป็นเบาหวาน ความดัน หลอดเลือด มะเร็ง ฯลฯ ส่วนความน่าเป็นห่วงของเด็กไทยในทุกวันนี้ คือมีภาวะโรคอ้วนมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม เช่น ฟาสต์ฟูด กับอีกส่วนก็มาโรคเครียด เป็นต้น

นพ.สุรชัย กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนด 6 ประการ ซึ่งเป็นแนวทางที่อยากให้เด็กและเยาวชนยึดถือไปใช้ เพื่อป้องกันโรค NCDs ได้แก่ 1. อาหาร ลดหวาน มัน เค็ม เลือกทานผักผลไม้หลากสี ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน เลี่ยงของทอด ขนมซอง ฯลฯ 2. ออกกำลังกาย ให้ได้อย่างน้อย 30-60 นาทีต่อวัน เป็นประจำอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ รวมถึงการออกไปกลางแจ้งเพื่อรับแสงแดดบ้าง จะมีส่วนช่วยต่อการเจริญเติบโตด้วย 3. การนอนหลับ ต้องนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน และการนอนที่ดีควรเข้านอนก่อน 22.00 น. ที่สำคัญคืองดการเล่นมือถือหรือดูหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที

4. การจัดการความเครียด ปรึกษาพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว เมื่อเกิดความเครียด ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมที่ชอบ 5. ความสัมพันธ์ที่ดี การพูดคุยหรือทำกิจกรรมต่างๆ กับพ่อ แม่ เพื่อน 6. หลีกเลี่ยงสารเสพติด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุหรี่ไฟฟ้า ที่ปัจจุบันเป็นภัยอันตรายที่สามารถเข้าถึงรั้วโรงเรียนได้หลายรูปแบบ

NHCO Q&A