หารือทางออกเอฟทีเอไทย-อียู หวั่นรัฐบาลด่วนตัดสินใจไม่สนใจผลกระทบต่อราคายาและสุขภาพคนไทย | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

  นักวิชาการติงรัฐบาลควรรอผลการศึกษาผลกระทบต่อการเข้าถึงยาจาก เอฟทีเอ ไทย-อียู ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้มั่นใจว่า ค่าใช้จ่ายด้านยาและการเข้าถึงยาของประชาชนไทยจะไม่ถูกกระทบและผูกขาดจากยามีสิทธิบัตรของบริษัทยาข้ามชาติ จากการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาและการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรกับอียู
 
   เมื่อเร็วๆนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ประดิษฐ์ สินธวณรงค์) เป็นประธานในการประชุมหารือเรื่องข้อคิดเห็นต่อการเปิดเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป ในประเด็นการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา (Data Exclusivity) และการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร (Patent Term Extension) ณ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีผู้แทนหลากหลายภาคส่วนเข้าร่วม อาทิ ภาครัฐ ได้แก่ องค์การเภสัชกรรม กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ภาคเอกชน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์(PReMA) สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน(TPMA) เครือข่ายภาคประชาชน และนักวิชาการ
 
   “เนื่องจากเรื่อง เอฟทีเอ ไทย-อียู มีประเด็นข้อวิพากษ์จากสังคมมาก โดยเฉพาะข้อห่วงกังวลเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพในประเด็นการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา และการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร ดังนั้น วันนี้จึงได้เชิญหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือกันว่าเราจะมีวิธีเตรียมพร้อมอย่างไรเพื่อให้ผลกระทบด้านลบเกิดน้อยที่สุดหากรัฐบาลไทยจะทำความตกลงการค้าเสรีกับ อียู โดยหวังว่าจะได้ทางออกที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันและได้ข้อคิดเห็นสำคัญให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
 
   ที่ประชุมมีความเห็นที่แตกต่างกันต่อประเด็นการทำ เอฟทีเอ ไทย-อียู นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวสนับสนุนการทำ เอฟทีเอ ไทย-อียู โดยให้เหตุผลว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม เนื่องจากหากประเทศไทยจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษจีเอสพีจากอียูตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ ดังนั้นหากไทยไม่ได้ทำ เอฟทีเอกับอียู การส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมาก สอดคล้องกับที่นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบูรณาการเศรษฐกิจการค้า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นำเสนอในที่ประชุมว่า
 
   “ปัจจุบันสหภาพยุโรปเริ่มทำ เอฟทีเอ แบบทวิภาคีกับประเทศในอาเซียนแล้ว ได้แก่ สิงคโปร์ และเวียดนาม ล่าสุดมาเลเซียก็เพิ่งประกาศว่าจะเจรจา โดยคาดว่าต่อไปอียูจะพยายามทำ เอฟทีเอ กับอาเซียนแน่ ดังนั้น หากไทยไม่เริ่มเจรจากับอียูก็จะเป็นไปได้ว่าพอถึงเวลาทำ เอฟทีเอ อียู-อาเซียน แล้วเราก็จะต้องรับเงื่อนไขที่อียูได้ทำ เอฟทีเอ กับประเทศในอาเซียนต่างๆ มาโดยปริยาย ประกอบกับในปี 2558 ที่จะถึงนี้อียูจะตัดสิทธิพิเศษจีเอสพีของไทยทั้งหมด ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบจากการโดนตัดจีอสพีกว่า 8 หมื่นล้านบาท ดังนั้นหากไทยไม่ทำ เอฟทีเอ กับอียูก็จะทำให้ได้รับผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้นในการส่งออกไปอียู ในขณะที่ประเทศรอบข้างที่ทำ เอฟทีเอ กับอียูก็จะได้เปรียบไทยเพราะภาษีส่งออกไปอียูจะลดลง อย่างไรก็ตาม กรมเจรจาฯ ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 190โดยเสนอกรอบเจรจาให้ ครม. และรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน โดยคาดว่าจะสามารถประกาศเริ่มเจรจาได้ประมาณช่วงต้นปีหน้า และจะใช้เวลาในการเจรจาประมาณปีครึ่งกว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปและมีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติในเดือนมกราคม 2558”
 
   ขณะที่นักวิชาการและเครือข่ายภาคประชาชนได้แสดงความห่วงกังวลต่อข้อเรียกร้องจากอียูในเรื่องการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาและการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรอย่างมาก เพราะเป็นการเรียกร้องเกินกว่าความตกลงระหว่างประเทศที่ว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา (ข้อตกลงทริปส์) อันเป็นข้อตกลงที่ทุกประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกยอมรับ ซึ่งการเรียกร้องเกินกว่าข้อตกลงทริปส์นี้จะทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการผูกขาดตลาดของยาติดสิทธิบัตรที่มีราคาแพง เพราะยาจะมีสิทธิบัตรนานขึ้นและการเปิดเผยข้อมูลเรื่องการขึ้นทะเบียนตำรับยาจะทำได้ช้าลง ส่งผลให้การเริ่มผลิตยาตำรับเดียวกันกับยาต้นแบบโดยอุตสาหกรรมยาในประเทศไทยทำได้ช้าลง ในสถานการณ์ที่ยาส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยพึ่งพายานำเข้าจากต่างประเทศเกือบร้อยละ 70 หากมียาติดสิทธิบัตรจำนวนมาก จะส่งผลให้ราคายาในภาพรวมของประเทศไทยแพงขึ้น และคนไทยจะเข้าถึงยาได้น้อยลงเนื่องจากสภาพอุตสาหกรรมยาของประเทศไทยในปัจจุบันมีความสามารถในการวิจัยและพัฒนายาที่ต่ำและยาที่ผลิตมักเป็นยาเลียนแบบยาต้นตำรับที่นำเข้าจากบริษัทต่างชาติแทบทั้งนั้น
 
   นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้แทนเครือข่ายภาคประชาชนในนามกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชนและเครือข่าย กล่าวว่า “พวกเราไม่ได้คัดค้านการเจรจาการค้า เอฟทีเอ กับอียู แต่ต้องการเห็นการเจรจาการค้าที่ประเทศได้ประโยชน์อย่างแท้จริง และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบถึงประชาชนและสังคมอย่างรุนแรงจนไม่สามารถเยียวยาได้ โดยขอให้รัฐบาลทำตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด และขอให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศทำตามมติ ครม. คือให้นำผลการรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดรวมทั้งความเห็นจากประชาชนรายงานไปยัง ครม. ก่อนการยกร่างกรอบการเจรจา ไม่ควรลัดขั้นตอนโดยให้ ครม. พิจารณาร่างกรอบฯ ทั้งที่ยังไม่มีการรายงานผลการรับฟังความเห็นต่อ ครม.”
 
   นอกจากนี้ ได้ให้ข้อมูลว่าผลกระทบที่จะเกิดจากการยอมรับข้อเสนอเรื่องการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาและการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร ต่อค่าใช้จ่ายเฉพาะในด้านยาในประเทศจะสูงมากกว่าตัวเลขจากการที่เราจะโดนตัดสิทธิจีเอสพีและไม่ทำ เอฟทีเอ กับอียูเสียอีก “จากการศึกษาของนักวิชาการที่ อย. กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกรมเจรจาฯ ให้การสนับสนุน และได้รับการตีพิมพ์ใน The Southeast Journal of Tropical Medicine and Public Health คาดการณ์ไว้ว่าค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยจะสูงขึ้นกว่า 1 แสนล้านบาทหากเรายอมรับให้มีการผูกขาดข้อมูลยา 5 ปี และปล่อยให้ขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยาเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี... นอกจากนี้องค์กรระหว่างประเทศ อาทิ WHO UNDP UNAIDS และ UNCTAD ได้แนะนำให้ประเทศกำลังพัฒนาเลี่ยงการยอมรับข้อตกลงที่เกินกว่าความตกลงทริปส์ โดยเฉพาะเรื่องการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือแม้แต่สภายุโรปเองก็มีมติห้ามมิให้คณะกรรมาธิการยุโรปบีบบังคับประเทศกำลังพัฒนาให้ยอมรับข้อตกลงที่เกินกว่าความตกลงทริปส์ เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อปัญหาด้านการสาธารณสุข” นางสาวกรรณิการ์ กล่าว
 
   รศ.ดร.นุศราภรณ์ เกษสมบูรณ์ นักวิชาการในคณะทำงานร่วม สช.-อย. ในการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ ในนามผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า “ขณะนี้ สช. และ อย. กำลังเร่งทำงานร่วมกันเพื่อประเมินผลกระทบทางสุขภาพต่อการเข้าถึงยา กรณี เอฟทีเอ ไทย-อียู อยู่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเริ่มการประเมินผลกระทบ โดยได้ให้นักวิจัยจากแผนงานการพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศกับสุขภาพ สำนักงานนโยบายสุขภาพระหว่างประเทศกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ศึกษา และในที่ประชุมวันนี้ได้เสนอให้มีผู้แทนกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเข้ามาอยู่ในคณะทำงานประเมินผลกระทบด้วย เพื่อมาร่วมกำหนดข้อเสนอทางเลือกทางนโยบายต่างๆ ร่วมกัน เพราะเห็นว่ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มีข้อมูลในเรื่องการทำ เอฟทีเอ ไทย-อียู ค่อนข้างดี แต่ทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศก็ ยังไม่ได้รับปาก อย่างไรก็ตาม เห็นว่ากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับข้อมูลผลกระทบด้านสุขภาพ โดยไม่อยากให้มองว่าขั้นตอนการประเมินผลกระทบนี้เป็นการขัดขวางการเจรจาการค้า เนื่องจากควรมองให้รอบด้าน และจากข้อมูลการศึกษาที่ผ่านมาโดยนักวิจัยหลายกลุ่มในเรื่องผลกระทบต่อการเข้าถึงยาจากการยอมรับในเรื่องการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาและการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรใน เอฟทีเอ ได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกัน คือ เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยาของคนไทย อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่ดีที่สุดขณะนี้คือ ขอให้รัฐบาลรอข้อสรุปจากการศึกษาผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของ สช. ที่ทำร่วมกับ อย. ซึ่งการศึกษานี้คาดว่าจะเสร็จในเดือนมิถุนายนปีหน้า”
 
   ทั้งนี้ แหล่งข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 29 พฤศจิกายน นี้ ผู้แทนจากคณะกรรมาธิการยุโรป จะเดินทางมาพบรองนายกรัฐมนตรีกิตติรัตน์ ณ ระนอง โดยหลายฝ่ายเกรงว่าจะมีการลัดขั้นตอนเร่งตกลงเรื่องการเจรจา เอฟทีเอ กับอียู และยอมรับข้อเสนอในประเด็นการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาและการขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรไปโดยไม่ได้นำข้อเสนอแนะจากการรับฟังความเห็นมาพิจารณาอย่างรอบด้านอย่างแท้จริง และพิจารณาตัดสินใจโดยใช้มุมมองเรื่องผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจที่มีต่อกลุ่มนายทุนบางกลุ่มนำผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพของคนไทย
 

สำนักสื่อสารทางสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 02-832-9140

รูปภาพ