เปิด “ศูนย์พัฒนาขับเคลื่อนนโยบายและรองรับภัยพิบัติชุมชนชมภู” ต้นทุนความเข้มแข็งของชุมชนและภาคีเครือข่าย ต่อยอดสู่การรับมือกับภัยพิบัติอย่างยั่งยืน | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

1

 

 

 

วันเสาร์ ที่ 30 พฤศจิกายน  2567  นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการ คสช. และ นายจารึก ไชยรักษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ คสช. ร่วมเปิด “ศูนย์พัฒนาขับเคลื่อนนโยบายและรองรับภัยพิบัติชุมชนชมภู” ณ ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลชมภู ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายสราวุธ  อ่อนละมัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์พัฒนาขับเคลื่อนนโยบายและรองรับภัยพิบัติชุมชนชมภู 

พร้อมทั้งร่วมเดินเยี่ยมชมบูท และรับฟังเรื่องเล่าจากประสบการณ์ พื้นที่ อาทิ ประสบการณ์รับมือภัยพิบัติ โซนที่ 1 โซนที่ 2 และโซนที่ 3 เรื่องการจัดการตนเองของชุมชนในสถาณการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วม(ทีมงานศูนย์ ) การจัดการตนเองของตำบลในสถาณการณ์ภัยพิบัติ COVID (รพสต บ้านพญาชมภู) การพัฒนาศักยภาพรองรับภัยพิบัติ ทีมฮีโร่ กู้ชีพ (โรงเรียน) การจัดการตนเองในสถาณการณ์ภัยพิบัติ PM 2.5. (สภาลมหายใจ) การจัดการตนเองของตำบลในสถาณการณ์ภัยพิบัติ โรค NCD (รพสต บ้านพญาชมภู) การเตรียมพร้อมในการขัดตั้งศูนย์พักพิงและครัวชุมชน (ศูนย์ยืม คืน ซ่อม สร้าง ตำบลชมภู ) การจัดการกลุ่มคนเปราะบางในสถานการณ์ภัยพิบัติ (ศูนย์บริการคนพิการ) พลังมวลชน จิตอาสา กรรมการหมู่บ้าน ชรบ อปพร ธนาคารเวลา (ธนาคารเวลา) การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (CHIA) และการสานพลังเครือข่ายเพื่อการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ (พอช. สมัชชาสุขภาพ )

 

2

 

นายสราวุธ  อ่อนละมัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข  กล่าวว่า ตำบลชมภู อำเภอสารภี ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมเป็นอย่างมาก ซึ่งการจัดตั้งศูนย์พัฒนาขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ และรองรับภัยพิบัติชุมชน ตำบลชมภู จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ประสานงานทั้งในระดับท้องถิ่น  และระดับประเทศ เพื่อให้การเตรียมความพร้อมและการรับมือภัยพิบัติ มีความรัดกุม มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากชุมชนในทุกภาคส่วน ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

การสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันภัยพิบัติ  เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง รวมทั้งการฝึกอบรมส่งเสริมทักษะและให้ความรู้แก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนรู้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง และ สามารถรับมือกับภัยพิบัติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันเป็นทีมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งด้านการเตรียมพร้อมทางการแพทย์  การให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร และน้ำดื่ม การฟื้นฟูพื้นที่หลังภัยพิบัติ รวมทั้งการสร้างจิตสำนึก ในการเตรียมความพร้อมให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
นายสราวุธ   กล่าว

 

4

 

นายอนันต์ แสงบุญ คณะกรรมการประสานภาคีเครือข่าย ศูนย์พัฒนาขับเคลื่อนนโยบายและรองรับภัยพิบัติชุมชนชมภู กล่าวว่า ด้วยตำบลชมภู อ.สารภี มีทุนทางสังคมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ชุมชนสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความเข้มแข็งของชุมชน การช่วยเหลือเกื้อกูลกันของสมาชิกในชุมชนจึงเป็นการช่วยลดผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น บทบาทของของผู้นำชุมชน จิตอาสา และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จึงเป็นบทบาทสำคัญในการสนับสนุนด้านสุขภาพและการจัดการปัญหาในพื้นที่ ได้อย่างเท่าทัน นายอนันต์ กล่าว

 

5

 

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ  กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือภัยจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อม และการวางแผนรับมือของชุมชน  เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

การเปิดศูนย์แห่งนี้ เป็นการเริ่มต้นที่สำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ ในการรับมือกับภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความรู้ ความเข้าใจในการดำเนินการรับมือภัยพิบัติชุมชนที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความปลอดภัย และความยั่งยืนให้กับทุกคนในสังคม นพ.สุเทพ กล่าว

 

 

การจัดตั้ง “ศูนย์พัฒนาขับเคลื่อนนโยบายและรองรับภัยพิบัติชุมชนชมภู” ยึดหลักการดังต่อไปนี้

  1. การใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลางและพื้นที่เป็นฐาน
  • การจัดตั้งโครงสร้างระดับชุมชน: เริ่มจากการสร้างคณะกรรมการที่ประกอบด้วยตัวแทนจากประชาชนในชุมชน ทั้งนี้เพื่อให้เสียงของประชาชนเป็นที่เคารพและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
  • พื้นที่เป็นฐาน: มุ่งเน้นการพัฒนาฐานข้อมูลและระบบปฏิบัติการที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่นั้นๆ เพื่อตอบสนองปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะ

 

2. การบูรณาการเครือข่าย

  • เชื่อมโยงภาคีเครือข่ายหลากหลายมิติ: ควรรวมตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมในการพัฒนาศูนย์ โดยมีการแบ่งบทบาทและความรับผิดชอบอย่างชัดเจน
  • ส่งเสริมความร่วมมือ: สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เช่น หน่วยงานด้านสาธารณสุข อาสาสมัครป้องกันภัยพิบัติ หน่วยงานท้องถิ่น และนักวิชาการ

 

3. การจัดการองค์ความรู้

  • การเก็บรวบรวมและพัฒนาความรู้ท้องถิ่น: เก็บข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติในชุมชนท้องถิ่นและผสานเข้ากับองค์ความรู้ทางวิชาการ เพื่อสร้างชุดความรู้ที่สามารถใช้งานได้จริง
  • การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ชุมชน: จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้และฝึกอบรมชุมชนเกี่ยวกับการป้องกันและฟื้นฟูภัยพิบัติ ให้เป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถมาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ได้

 

4. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้

  • การสร้างเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์: จัดกิจกรรมให้ประชาชนและเครือข่ายมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเผชิญกับภัยพิบัติ โดยใช้รูปแบบของเวทีสาธารณะหรืองานเสวนาชุมชน
  • การใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร: ใช้สื่อออนไลน์และสื่อสังคมเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและทันสมัย

 

5. การสื่อสารสังคมอย่างบูรณาการ

  • การจัดทำแผนการสื่อสารสาธารณะ: วางแผนและพัฒนาสื่อที่เข้าถึงง่าย มีความหลากหลาย ทั้งสื่อดิจิทัลและสื่อชุมชนเพื่อให้ข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติไปถึงประชาชนอย่างทั่วถึง
  • การสร้างระบบแจ้งเตือนภัย: พัฒนาระบบเตือนภัยที่เชื่อมโยงกับชุมชน เช่น การใช้แอปพลิเคชันบนมือถือ การใช้สื่อสังคม หรือการสื่อสารผ่านเครือข่ายวิทยุท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างทันท่วงที

 

6. การปฏิบัติการป้องกัน เตรียมการ ตอบโต้ และฟื้นฟูภัยพิบัติ

  • แผนปฏิบัติการรองรับภัยพิบัติ: ศูนย์ต้องมีแผนปฏิบัติการที่ครอบคลุมทั้ง 4 ระยะ ได้แก่ การป้องกัน การเตรียมการ การตอบโต้ และการฟื้นฟู โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน
  • การฝึกซ้อมการรับมือภัยพิบัติ: ควรมีการจัดฝึกซ้อมเป็นประจำเพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่มีความพร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

 

1231