จากรากสู่เรา : 10 ปีธรรมนูญลุ่มน้ำภูมี | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
Audio file
จากรากสู่เรา10ปีธรรมนูญลุ่มน้ำภูมี

... ชาคริต โภชะเรือง สมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลา


31 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา มีเวทีความร่วมมือ "จากรากสู่เรา วิถีข้าว ชาวลุ่มน้ำภูมี" จัดขึ้น ณ บ้านริมทุ่งนาของนายวรรณะ ขุนเดื่อ ตำบลควนรู อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่และฐานการเรียนรู้หมู่บ้านวิถีข้าวพื้นเมืองนิเวศน์แห่งการเรียนรู้ความมั่นคงทางอาหารปลอดภัย 
 

ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทบทวนธรรมนูญลุ่มน้ำภูมี ในวาระครบ 10 ปี เพื่อนำเสนอถึงการอนุรักษ์และพัฒนาพันธุกรรมข้าว โดยนำเสนอ ๓ กรณีศึกษาสำคัญ ได้แก่
 

จากรากสู่เรา วิถีข้าว ชาวลุ่มน้ำภูมี


1) ข้าวกับอาหารกลางวันและยุวชนชาวนา โดย นายสุเทพ เซ่งล่าย อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไทรใหญ่ สะท้อนความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน โดยมี มทร.ศรีวิชัย เป็นหน่วยสนับสนุนสำคัญ ดำเนินการร่วมกันมากว่า 7 ปี ช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับอาหารกลางของวันของเด็กนักเรียน พร้อมสะท้อนปัญหาอาหารกลางวันในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีเด็กไม่มาก ค่าอาหารกลางวันที่เหมาะสม ควรจะอยู่ที่ 25-30 บาท และชุมชนควรตระหนักถึงคุณภาพของอาหารที่ลูกหลานของตนได้รับ

2) ข้าวซ้อมมือกับการฟื้นพลังครอบครัวในชุมชน โดย นางธันยพร เคี่ยมการ เครือข่ายเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียงบ้านม่วงใหญ่ บอกเล่าวิถีของชุมชนที่เริ่มแตกสลาย การนำกิจกรรมข้าวซ้อมมือกลับมา ไม่เพียงช่วยให้ครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกันแล้ว ยังทำให้เห็นคุณค่าของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่หล่นหายไปในวิถีการผลิตแบบใหม่ และเปิดประเด็นความมั่นคงอาหารระดับครัวเรือน ปริมาณข้าวที่แต่ละคนบริโภคต่อปี

3) การผลิตข้าวเชิงพาณิชย์ของเกษตรแปลงใหญ่ โดย นายไพบูลย์ หนูราช ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มโรงสีข้าวชุมชนบ้านหนองโอน บอกเล่าวิถีการผลิตแบบใหม่ จากกลุ่มรวมตัวเป็นวิสาหกิจและต่อยอดมาเป็นห้างหุ้นส่วน สนับสนุนการผลิตข้าวปลอดภัยและข้าวอินทรีย์ จนสามารถสร้างโรงสี บรรจุภัณฑ์ มีระบบตลาดของตนเอง และเล่าว่าในพื้นที่ลุ่มน้ำภูมีมีข้าวพื้นเมือง 22 สายพันธุ์ ข้าวที่น่าสนใจได้แก่ ข้าวหอมจันทร์

ทั้ง 3 กรณีศึกษาล้วนสะท้อนวิถีของชาวนาในพื้นที่ ก่อนที่จะมีการนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย โดย อาจารย์อัมรินทร์ สันตินิยมภักดี, ผศ.อารีย์ เต๊ะหละ จาก มทร.ศรีวิชัยรัตภูมิ ที่สะท้อนว่าความมั่นคงทางอาหารจะเกิดได้ต้องให้ชาวนามีความมั่นคงและยั่งยืนก่อน พร้อมเสนอให้เพิ่มคุณค่าของการเรียนรู้ช่วยกันสร้างค่านิยมปลูกฝังให้กับเด็กๆและเยาวชนได้เห็นคุณค่าของข้าว และวิถีที่เกี่ยวเนื่องเพื่อสามารถต่อยอดฐานทุน ฐานทรัพยากรที่ยังมีความสมบูรณ์

คุณค่าของเมล็ดพันธุ์ข้าวนายกำราบ พานทอง เครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนสงขลา มองว่า พื้นที่ควรส่งเสริมเกษตรอัตลักษณ์ ข้าวพื้นเมืองที่ควรส่งเสริมเช่น ข้าวหน่วยเขือ หน่วยงานควรวิจัยค้นหาสายพันธุ์ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภูมินิเวศ วิถีข้าวควรจะต้องสัมพันธ์กับการบริโภคที่เรียกว่า "สำรับ" ข้าว ปลา ผัก อาหาร เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน การส่งเสริมจะต้องสมดุลทั้งระบบนิเวศทางการผลิตและระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ หากข้าวไม่ได้ราคา เกษตรกรจะหันไปปลูกปาล์มและยางที่ได้ราคาดีกว่า พร้อมกับย้อนความทรงจำว่าในอดีตนาข้าวยังมีพืชอัตลักษณ์ร่วมที่ปัจจุบันได้หายไปแล้วคือ ใบยีรู ต้นนมแมว และขนมต่างๆ

ที่ประชุมที่ประกอบด้วยเครือข่ายชาวนา สมาคม สถานศึกษา ภาคเอกชน หน่วยงานราชการ เช่น พาณิชย์จังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด ต่างเสนอแนะแนวทางความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนต่อไป อาทิ

 

121164

 

เกษตรแปลงใหญ่

ควรส่งเสริมการผลิต โดยมีทีมจัดการข้าวรับจ้างช่วยเกษตรกรหรือเจ้าของที่ดินที่ไม่มีแรงงาน หรือร่วมมือในลักษณะเสริมหนุนเป็นเครือข่ายการผลิต

ควรมีการอนุรักษ์แปลงนาหรือรวมตัวกันซื้อที่นาเพื่อไม่ให้เปลี่ยนสภาพด้วยมาตรการส่งเสริมคุณค่า นำแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาต่อยอดผลผลิตหรือฐานทรัพยากรข้าวในแต่ละช่วงฤดูกาล

ควรนำการท่องเที่ยวเข้ามาเสริมด้วยการขายประสบการณ์ เชื่อมโยงผู้บริโภคและคนเมืองเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม มองภาพข้าวในมิติภูมินิเวศลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาที่สามารถบูรณาการต้นทุนร่วมกัน 


และที่สำคัญร่วมสร้างภาพจำใหม่ให้กับเยาวชน เปลี่ยนภาพชาวนาที่ลำบากยากจน สร้างกระบวนการเรียนรู้เปิดมิติการเรียนรู้ในห้องเรียนท้องนา 



กิจกรรมนี้สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมจังหวัดสงขลา ในการประเด็นเศรษฐกิจฐานราก เกษตรและอาหารเพื่อสุขภาพ